国立広島・長崎原爆死没者追悼平和祈念館 平和情報ネットワーク GLOBAL NETWORK JapaneaseEnglish
 
Select a language / ภาษาไทย (Thai・タイ語) / Video testimonial(ชมภาพหลักฐานยืนยัน)
นุมะตะ ซึสึโกะ  (NUMATA Suzuko)
เพศ หญิง  อายุตอนที่ถูกระเบิด 22 
วันเดือนปีที่บันทึก 1987.8.1  อายุตอนที่บันทึก 64 
สถานที่ ณ ขณะเวลาที่ถูกระเบิด ฮิโรชิมา(ระยะห่างจากจุดศูนย์กลางของระเบิด:1.3km) 
สถานที่เก็บ อาคารอนุสรณ์สันติภาพแห่งจังหวัดฮิโรชิมา เพื่อระลึกและไว้อาลัยแด่ผู้เสียชีวิต จากระเบิดปรมาณู 
บรรยายเป็นภาษาไทย/
บรรยายเป็นอักษรไทย
บรรยายเป็นอักษรไทย 
คุณนุมะตะ ซึสึโกะ  ในขณะนั้นมีอายุ 21 ปี ตอนนั้นคุณนุมะตะอยู่ภายในอาคารของกรมการสื่อสารภูมิภาคฮิโรชิม่าของกระทรวงการสื่อสาร  หรือกรมการไปรษณีย์ภูมิภาคจูโคะคุในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ต่างจากจุดทิ้งระเบิด 1.3 กิโลเมตร ทันทีที่เห็นแสงสว่างวาบ เธอก็ถูกเศษหินปูนถล่มลงมาทับจนต้องสูญเสียขาซ้ายไป คุณนุมะตะทุกข์ทรมานจากอาการเจ็บป่วยที่เป็นผลจากระเบิดปรมาณู ต้องรับการผ่าตัดขาซ้ายถึงห้าครั้ง แต่ก็ยังคงบอกเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับระเบิดปรมาณูมาโดยตลอด เพื่อให้ทุกคนเห็นความสำคัญของสันติภาพ และเพื่อสืบทอดประสบการณ์เกี่ยวกับระเบิดปรมาณู
 
เช้าวันนั้น ฉันรู้สึกว่าอากาศร้อนจึงสวมกางเกงผ้าฝ้ายที่ตัดเองกับเสื้อเนื้อบาง สวมหมวกผ้าสำหรับป้องกันศีรษะ สะพายถุงฉุกเฉินใบย่อมแล้วรออยู่ที่บ้าน พอเวลา 7.31 น. ก็มีประกาศยกเลิกการเตือนภัยการจู่โจมทางอากาศ กลุ่มคนที่อยู่ใกล้ๆบอกว่า "เครื่องบินข้าศึกไปจากน่านฟ้าฮิโรชิม่าแล้ว ไม่ต้องกลัว รีบไปตอนนี้เถอะ" ฉันบอกลาแม่ แล้วพวกเรา 4 คน ได้แก่ฉัน พ่อ พี่ชายและน้องสาวก็ออกจากบ้านไป ฉันแยกกับพ่อและน้องสาวที่ประตูกรมการสื่อสาร แล้วเดินขึ้นบันไดด้านหน้าที่เชื่อมต่อไปถึงชั้นสอง....
 
บันไดนี้ใช่ไหมครับ
ใช่ค่ะ
 
บันไดนี้ยังคงหลงเหลืออยู่ จึงเก็บรักษาไว้ที่นี่เพื่อเป็นอนุสรณ์ มันเป็นบันไดจากชั้นหนึ่งขึ้นไปชั้นสอง ชานบันไดมีที่ค่อนข้างกว้างทีเดียว ฉันวิ่งขึ้นไปบันไดถึงชั้นดาดฟ้าด้วยความเร็วสุดกำลัง ตอนนั้นเจ้าหน้าที่สำนักงานหญิง 3 คนยังไม่มา มีแต่ฉันคนเดียว ฉันทักทายผู้บังคับบัญชา "สวัสดีค่ะ" เขาตอบว่า "สวัสดี วันนี้อากาศร้อนจัง" แล้วฉันก็นึกได้ว่า ถ้ามีคนมาในห้องนี้มากๆแล้วจะทำความสะอาดลำบาก รีบทำความสะอาดตอนนี้ดีกว่า ทำคนเดียวก็ยังดี แล้วฉันก็เริ่มทำความสะอาด
 
ฉันกำลังจะแต่งงานใน 2-3 วันหลังจากนั้น คู่หมั้นของฉันไปรบตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม ค.ศ. 1945 เขาแจ้งมาว่าจะกลับมาฮิโรชิม่าด้วยธุระทางการ ในวันที่ 8 หรือ 9 หรือ 10 สิงหาคม ตอนสองฝ่ายพบกันครั้งแรก ต่างคิดว่าลูกสาวกับลูกชายจะแค่หมั้นหมายไปเรื่อยๆก็ไม่ดี พวกเขาจึงตกลงกันว่า ถ้าได้เห็นหน้าเจ้าบ่าวแล้วจะจัดงานแต่งงานเลย วันนั้นฉันมีพลังเต็มเปี่ยมทั้งมีความสุขและมีความหวัง ทำให้ฉันอยากทำความสะอาดในตอนเช้า แม้ว่าจะทำคนเดียวก็ตาม
 
พอทำความสะอาดเสร็จ ฉันคิดว่าจะเก็บผ้าขี้ริ้วที่ไหนดี เลยจะไปที่ห้องน้ำชั้น 4 ฉันเห็นผู้ชายหลายคนที่อยู่ข้างนอก ในมือตัวเองยังถือถังน้ำอยู่ ฉันเดินลงบันไดเล็กที่อยู่ใกล้ๆ ไปห้องน้ำที่ชั้น 4 พอลงบันไดมา ห้องน้ำจะอยู่ทางซ้ายมือพอดี ฉันหยุดยืนที่ทางเดินหน้าห้องน้ำ แล้วฉันก็เจอเพื่อนร่วมงานที่สนิทสนมและทำงานด้วยกันจนถึงปลายเดือนมีนาคม 1945 เพื่อนคนนั้นกำลังจะมาเข้าห้องน้ำพอดี เราเจอกันตอนที่ฉันถือถังน้ำกำลังจะเข้าไปในห้องน้ำ ฉันจำได้ว่าฉันทักเพื่อนว่า "สวัสดีจ้ะ"
 
ทันใดนั้น ฉันก็เห็นแสงสว่างวาบ มันเป็นแสงที่สวย สวยงามมาก สิ่งที่หลงเหลือในความทรงจำของฉันตอนนี้ คือแสงสีส้ม แต่แสงสว่างที่เห็นในวันนั้นฉันไม่รู้ว่าเป็นสีอะไร ไม่ใช่สีแดง สีฟ้าหรือสีเขียว ไม่มีเสียงด้วย มันสว่างวาบขึ้นมา

ในเวลานั้น เพื่อนคนนั้นยืนหันหลังให้จุดที่ถูกทิ้งระเบิด ส่วนฉันยืนหันหน้าไปทางจุดที่ถูกทิ้งระเบิด เราสองคนยืนหันหน้าเข้าหากัน พอรู้ตัวอีกที ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เหมือนอยู่ในห้องที่มืดสนิท ขยับตัวไม่ได้ รู้สึกเหมือนกับมีของหนักๆทับตัวอยู่ ฉันไม่ได้ยินเสียงอะไรด้วย
 
คุณถูกเศษซากอาคารทับตัวหลังเห็นแสงสว่างนั้นหรือครับ
 
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองกระเด็นไปที่ห้องไหน พอเห็นแสงนั้น ฉันก็โดนแรงกระแทกจากการระเบิดจนกระเด็นแล้วสลบไป พอฟื้นขึ้นมาอีกที ฉันไม่รู้ว่าตอนนั้นเป็นเวลากี่โมง รู้แต่ว่าขยับตัวไม่ได้และถูกทับอยู่
 
ฉันได้ยินเสียงคนพูดว่า "มีใครอยู่ตรงนี้หรือเปล่า" จึงตะโกนตอบไปทั้งที่ยังมึนงง "ช่วยด้วย ช่วยฉันที" เขาคงได้ยินเสียงฉัน "ใครน่ะ เธอชื่ออะไร" ฉันเลยบอกชื่อตัวเองไปโดยอัตโนมัติ รู้ตัวอีกที ฉันก็เห็นผู้ชายกำลังวุ่นกันใหญ่ ถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่จำได้ว่ามีสองคน "ลุกขึ้นแล้วออกมาสิ ลุกขึ้นแล้วออกมา" ฉันได้ยินเขาพูด
 
แต่ฉันลุกไม่ได้ ไม่รู้ว่าตัวเองมัวอืดอาดทำไม เขาค่อยๆดังเศษซากที่ทับตัวฉันอยู่ แล้วก็ร้องขึ้นมาว่า "อ๊ะ ขาเธอ" แต่ฉันไม่รู้สึกเจ็บหรือรู้สึกอะไร ไม่รู้ตัวว่าขาของตัวเองเป็นยังไง รู้สึกเหมือนเป็นเรื่องของคนอื่น รู้แต่ว่าฉันได้ยินเสียงนั้นลอยเข้าหูตอนตัวเองกำลังเหม่อ
 
ไม่รู้ว่าตัวเองลุกขึ้นมาแล้วถูกแบกไปได้อย่างไร ฉันได้ยินเสียงคนบอกว่า "ขึ้นมาเกาะหลังผม" แล้วเขาก็แบกฉันออกไปที่เฉลียง ที่เฉลียงคลุ้งไปด้วยกลิ่นแปลกๆ และเต็มไปด้วยควันสีประหลาด "เกิดอะไรขึ้น" ฉันถาม เขาตอบว่า "ผมก็ไม่รู้ แต่เราต้องรีบหนี" ฉันจำไม่ได้ว่าเขาพาฉันจากชั้นสี่ลงมาถึงชั้นหนึ่ง โดยใช้บันไดด้านหลังหรือใช้บันไดนี้ แต่ในที่สุดเราก็ไปถึงลานกีฬาด้านหลังตึก
 
ตอนถูกแบกไปถึงทางเข้า สิ่งแรกที่เห็นก็คือ ศูนย์บัญชาการกองทัพแห่งฮิโรชิม่า โรงเรียนทหารบกแห่งฮิโรชิม่า และสถานที่ราชการทหารต่างๆที่อยู่อีกฟากของลานกีฬากำลังถูกไฟไหม้อย่างรุนแรง ฉันไม่รู้ว่าทำไมถึงเกิดไฟไหม้ พอหันมองรอบๆ ก็เห็นต้นหลิว ต้นซากุระ ต้นร่มจีนที่เคยเป็นที่พักผ่อนกำลังถูกไฟไหม้อย่างรุนแรง ฉันยังถูกแบกอยู่บนหลังของชายคนนั้น เมื่อหันไปมองข้างหลังก็เห็นตึกตกอยู่ในทะเลเพลิง เปลวไฟแดงฉานแลบเข้าแลบออกจากบานหน้าต่าง ฉันได้แต่คิดว่าทำไมไฟไหม้ เมื่อมองไปที่ลานกีฬาด้วยสติที่ยังงงงัน ฉันเห็นคนอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้
 
หนึ่งในคนที่ฉันยังจดจำได้จนถึงทุกวันนี้ก็คือหัวหน้าแผนกที่เจอกันที่ชั้นสี่ เขาอยู่ในสภาพแทบจะเปล่าเปลือย กางเกงขาดวิ่น ได้รับบาดเจ็บ มีผ้าเหมือนผ้าขนหนูพันที่ศีรษะ ฉันเห็นหัวหน้าแผนกและคนอื่นๆที่เคยเจอ ทุกคนเสื้อผ้าขาดวิ่น ผมชี้ตั้ง เลือดอาบร่าง มืออยู่ในสภาพนี้ ร้องตะโกนอะไรบางอย่าง เดินวนเวียนอย่างสับสนอยู่ในลานกีฬา ท่าทางเจ็บปวดมาก ไม่รู้จะหนีไปที่ไหน
 
มีคนร้องราวกับเสียสติดังมาจากอีกด้านของลานกีฬา แล้วเดินใกล้เข้ามา ฉันจ้องมองเขาทั้งที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร พอเขาเดินใกล้เข้ามาจึงเห็นว่าชายคนนั้นคือพ่อของฉันเอง พ่อดีใจที่ในที่สุดก็ได้เจอลูกสาว แต่พอก้มลงไปเห็นขาของฉัน ข้อเท้าข้างซ้ายของฉันขาดไปทั้งกระดูก มีเนื้อเหลือติดเพียงเล็กน้อยและมีเลือดออกมาก พอพ่อเห็นขาฉัน เขาก็ไม่สนอะไร ไม่สนใครทั้งนั้น ร้องตะโกนลั่น "ช่วยลูกสาวผมด้วย ใครก็ได้เอาอะไรมาช่วยที" แล้วก็มีผู้คนหลายคนยกเสื่อทาทามิมาให้ ฉันถึงได้ลงไปนอน พ่อและคนอื่นๆที่ได้รับบาดเจ็บต่างช่วยยกฉันออกจากลานกีฬา เราผ่านข้างตึกที่กำลังไฟไหม้ ตรงข้างๆนี้พอดี พอออกจากประตูไป เราก็หยุดเพื่อหลบภัยแถวนี้ ซึ่งก็คือทางผ่านรถรางสายฮะคุชิมะในตอนนี้
 
จากที่รู้สึกเบลอๆ ฉันก็ได้สติกลับคืนมา มองเห็นทุกอย่างชัดเจน มีไฟไหม้ไปหมดทุกที่ ได้ยินเสียงคนร้องอย่างเจ็บปวดดังมาจากทุกทิศ "ขอน้ำหน่อย แม่จ๋า หนูเจ็บ" และ "ทางนี้ตายแล้ว ทางโน้นก็ตายอีกแล้ว" ฉันได้ยินเสียงคนพูด แต่ไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย ตอนนั้นฉันคงจะยังเบลอๆอยู่ แต่ก็ได้ยินเสียงชัดเจนขึ้นทีละน้อย
 
มีคนเดินแถวมาทางด้านที่ฉันนอนหันหัวไป จู่ๆพวกเขาก็ล้มลงแล้วตาย ฉันยังจำภาพนั้นได้อย่างชัดเจน ตอนนั้นฉันได้รับการห้ามเลือดจนเลือดหยุดไหล ฉันรู้สึกว่าฉันรอดแล้ว เมื่อได้สติกลับมา ฉันก็มองไปทางขาขวา เห็นคนๆหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลซุกตัวอยู่ตรงนั้น พอได้ยินเสียง "พี่จ๋า" ฉันถึงได้รู้ว่านั่นคือน้องสาวของฉันเอง
 
แล้วท้องฟ้าก็มืดสนิท ฝนตกลงมา ฉันยังจำสีของมันได้ มารู้ทีหลังว่าเป็นสายฝนที่น่าสะพรึงกลัวเพราะมีรังสีปรมาณูปะปน แต่ตอนนั้นฉันไม่คิดถึงเรื่องนี้ ฝนตกลงมาถูกขาที่ขาดไปของฉันและศพผู้คน คนที่ร้องครวญครางก็เปียกฝนด้วยเช่นกัน แล้วทุกคนก็นิ่งเงียบ
 
แต่เครื่องบินB29อาจบินมาอีก เราจึงตัดสินใจว่าต้องหนีเพื่อรักษาชีวิตที่รอดมาได้ คราวนี้ทุกคนต่างกรูกันไปที่ประตู ตรงนั้นไม่กว้างนัก แต่อยู่ติดกับโรงพยาบาลเทชิน พ่อฉันไปที่โรงพยาบาลหลายต่อหลายครั้ง เพราะพ่อมีความตั้งใจจริงที่จะช่วยลูกสาวให้ได้ แต่พบว่าทั้งหมอและพยาบาลต่างก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ในระหว่างนั้น พ่อก็ได้พบกับคุณหมอท่านหนึ่ง ซึ่งก็คือคุณหมอฮะจิยะ มิจิฮิโกะ ที่เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลอยู่ในขณะนั้น ท่านก็บาดเจ็บหนักจากระเบิดปรมาณูเช่นกัน และเพิ่งมาถึงที่โรงพยาบาลเทชิน หลังจากคุณหมอผ่าตัดเสร็จ พ่อก็ไปขอร้องให้คุณหมอช่วย ฉันยังจำได้ว่าเราไปที่บ้านคุณหมอตอนกลางดึก ว่าเราต้องเดินทางกันไกล พอไปถึงพบว่ามีเทียนจุดอยู่เพียงเล่มเดียว แล้วคุณหมอก็ตัดขาให้ฉัน หลังจากนั้นเราก็กลับไปที่ทางเข้ากรมการสื่อสารอีกครั้ง
 
ฉันสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับขาตัวเองจึงถามน้องสาว "ขาของพี่เป็นอะไร" น้องสาวบอกว่า "พี่ไม่มีขาแล้ว" คำพูดที่ออกมาจากใจฉันในตอนนั้นคือ "แล้วฉันจะแต่งงานได้ยังไง ฉันจะขึ้นบันไดได้ยังไง ฉันจะทำงานได้ยังไง" ฉันร้องเสียงดังมาก ผู้คนที่ได้รับบาดเจ็บต่างช่วยกันปลอบใจฉัน "เธอขึ้นบันไดได้แน่ ทำงานได้ และแต่งงานได้ด้วย" ฉันจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนั้นไม่ค่อยได้ แต่ได้มาฟังในภายหลัง
 
เราถูกทิ้งอยู่ในสภาพนั้นเป็นเวลา3วัน นับแต่คืนของวันที่ถูกระเบิด ทางเข้าโรงพยาบาลอัดแน่นไปด้วยผู้คน เวลา2-3วันนั้นจึงเป็นเหมือนตกนรกทั้งเป็น ทางโรงพยาบาลเห็นว่าจะให้ทุกคนอยู่กันที่นี่ไม่ได้ จึงจัดระเบียบโรงพยาบาล วันต่อมาฉันจึงถูกย้ายไปที่ชั้น1 ที่ชั้นหนึ่งมีทั้งคนที่เสียชีวิตไปแล้ว คนที่ได้รับบาดเจ็บอัดแน่นเต็มไปหมด โดยที่ฉันต้องถูกคนเหล่านั้นทับ
 
แล้วหมอก็ถือเทียนและไฟฉายส่องเดินมาที่ฉัน "รายนี้ ถ้าเราตัดให้เหลือส่วนที่เนื้อยังดีอยู่ เราอาจช่วยชีวิตเธอได้" ฉันมาทราบทีหลังว่า ระหว่างที่ถูกทิ้งไว้ 3 วันนั้น ขาของฉันเป็นหนองขึ้นมาถึงหัวเข่าและอยู่ในสภาพใกล้ตาย แม้ว่าหมอจะอยากช่วยแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ในคืนนั้น จึงตัดสินใจรอจนฟ้าสว่างแล้วค่อยตัดขา
 
พอถึงเช้าวันที่ 10 ฉันก็ถูกตัดขาตั้งแต่กระดูกโคนขาลงไป ในสภาพที่แทบไม่ได้ใช้ยาชา ตอนนั้น พ่อทนดูไม่ได้จึงถอยห่างออกไป คนที่ช่วยกันจับแขนขาของฉันเอาไว้ก็คือบรรดาเพื่อนร่วมงาน ตอนผ่าตัดขา ฉันกรีดร้องจนสลบ
 
ฉันต้องพักรักษาตัวอยู่เป็นเวลาปีครึ่ง มีอาการผมร่วง ท้องเสีย มีไข้เหมือนกับคนอื่นๆ ขาของฉันเป็นหนองอยู่ตลอดเวลา หนองซึมขึ้นมาถึงบนผ้าที่พันไว้ ดูแล้วบอกไม่ถูกว่าเป็นสีเขียวหรือสีน้ำตาล หนองไหลไปถึงต้นขา พอแกะผ้าพันแผลออก หนองก็ไหลทะลักออกมา กล้ามเนื้อลดน้อยลงทุกวัน ตรงที่ตัดขาไปยังมีกระดูกอยู่ แต่เนื้อลดหายไปจนกระดูกโผล่ออกมา2-3ซม. จึงต้องผ่าตัดเพื่อตัดกระดูกอีกครั้ง แล้วเนื้อก็หายไปอีก ฉันยังจำได้ว่าผ้าพันแผลที่แม่ซัก ตอนแห้งแล้วมันยังมีคราบสีน้ำตาล สีเขียวติดอยู่ นับจากเกิดเรื่องจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 1947 ฉันรับการผ่าตัดถึง 4 ครั้ง

ในระหว่างนั้นมีหนอนแมลงวันเดินไต่ไปมาตามพื้นและตัวคนเต็มไปหมด แม้แต่บนตัวฉันก็มีหนอนแมลงวันเดินไต่ด้วยเหมือนกัน ถัดจากตรงที่ฉันนอนอยู่ไปเพียง 15-16 ซม.  มีคนที่แขนขาดเพราะบ้านพังลงมาทับ อาการของเขาทรุดหนักลงเรื่อยๆ ที่แขนขวาของเขามีหนอนแมลงวันตัวอ้วนใหญ่เบ้อเริ่มอยู่ยั้วเยี้ย มันไม่ได้ไต่ในแนวนอน แต่มีหนอนอัดแน่นจนตัวตั้ง ฉันหันไปเห็นภาพน่าสยดสยองนั้นเลยตะโกนว่า "เอาหนอนน่ากลัวออกไป" พอได้ยินเสียงร้อง คนแถวนั้นก็ช่วยกันเอาหนอนบนตัวฉันออกไปให้ แล้วก็จะช่วยเอาหนอนออกจากแผลของคนข้างๆให้ด้วย แต่ดูเหมือนจะยากลำบากมาก มีหนอนแมลงวันคลานทุกที่บนตัวคนได้รับบาดเจ็บจากไฟไหม้ ไม่ว่าจะเป็นบนหัว คอ ปากหรือแม้แต่ในจมูก มีแม่ที่กอดทารกอยู่อย่างทุกข์ทรมานท่ามกลางหนอนเหล่านั้นด้วย แล้วทารกน้อยก็ตายไปในอ้อมกอดแม่ นี่เป็นเรื่องจริง ฉันยังคงจำภาพเหล่านั้นได้อย่างไม่มีวันลืม ภาพคนที่มีหนอนไต่ คนไม่มีแขนที่นอนอยู่ข้างตัวฉัน
 
น้องสาวของฉันอาการหนักและทรมานมากกว่าฉันจนคิดว่าไม่รอดแน่ เธอป่วยด้วยโรคสารพัด ไม่ว่าจะเป็นวัณโรค โรคตับอ่อน โรคที่ลำไส้ เศษกระจกในตัวถูกดึงออกมาหลายต่อหลายชิ้น มีร่องรอยบาดแผลลึก และต้องผ่าตัดศัลยกรรม แล้วก็เป็นโรคที่กลัวมากที่สุด นั่นคือมะเร็งเต้านมจนต้องตัดเต้านมออกทั้งสองข้าง และทุกข์ทรมานจากอาการเจ็บป่วยหลังที่คงเหลือ กระดูกไหปลาร้าข้างซ้ายก็เปราะจนกระดูกหัก จนตอนนี้แขนซ้ายมีขนาดใหญ่กว่าแขนขวาเท่าตัว น้องสาวต้องเจ็บปวดมากกับการประคองแขนเอาไว้
 
แล้วตอนนี้ มีเรื่องน่าห่วงขึ้นมาอีก ต่อมไทรอยด์บวมขึ้นมา เราจึงไปตรวจ น้องสาวฉันเป็นมะเร็งเต้านมอยู่แล้ว เราไม่รู้ว่ามะเร็งแอบซ่อนตัวอยู่ที่ไหนอีก เราไปหาหมอด้วยความกังวล กลัวว่าจะเป็นมะเร็งต่อมไทรอยด์ จนตอนนี้เราก็ยังไม่รู้ผลการตรวจ
 
ฉันไม่อยากให้ผู้คนที่คุ้นชินกับความสงบสุขและสมบูรณ์เพียบพร้อมจึงไม่สนใจเรื่องสงครามโดยปราศจากความรู้ในปัจจุบัน ต้องพบเจอเหตุการณ์แบบเดียวกับพวกเราอย่างตั้งตัวไม่ทัน ที่จู่ๆก็สร้างอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมาและจะทำสงครามนิวเคลียร์กันได้ทุกเมื่อ ฉันอยากให้เรื่องราวเหล่านี้จบลงที่พวกฉัน สงครามนั้นไม่ดี เราได้รับการคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญแห่งสันติภาพที่สัญญาว่าจะไม่ทำสงครามอย่างเด็ดขาด แต่ก็กังวลว่าสัญญานี้จะถูกทำลายลงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ การที่คนรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความกังวลกลับเชื่อในสัญญาเหล่านั้น เป็นเรื่องน่ากลัว ตอนเกิดสงคราม พวกเราเคยถูกทำให้เชื่อในเรื่องผิดๆ จึงคิดว่าต่อไปนี้จะไม่เชื่อ จะไม่ถูกหลอกอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ พวกฉันซึ่งรอดชีวิตมาได้จึงพยายามบอกเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับระเบิดปรมาณู เพื่อให้ทุกคนได้รับรู้ความจริงเหล่านั้น แม้จะเป็นผู้บอกเล่าเรื่องราว ฉันก็ต้องเรียนรู้ด้วยเหมือนกัน
 
แล้วพวกเราก็จะเป็นความจริงที่มองเห็น อยากให้คนหนุ่มสาวได้เรียนรู้ โดยคิดว่าเป็นเรื่องของตัวเอง ฉันมักพูดคำนี้เสมอ ว่าญี่ปุ่นมีคำพูดมาแต่โบราณว่า "ความเดือดร้อนของคนอื่นในวันนี้ อาจมาเยี่ยมเยือนเราในวันรุ่งขึ้น" แม้ว่าวันนี้เราจะใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย แต่ในวันรุ่งขึ้นความน่ากลัวนั้น อาจเกิดขึ้นกับตัวเราก็ได้ ฉันมักบอกกับทุกคนเช่นนี้ เมื่อเกิดเรื่องต่างๆขึ้นมา เราจะคิดว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องของคนอื่นไม่ได้ อยากให้คิดว่า พรุ่งนี้เราอาจเจอกับปัญหานั้น
 

  
 
 

ห้ามนำรูปภาพหรือข้อความที่มีอยู่ในโฮมเพจนี้ไปลงหรือใช้ในที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
HOMEに戻る Top of page
Copyright(c) Hiroshima National Peace Memorial Hall for the Atomic Bomb Victims
Copyright(c) Nagasaki National Peace Memorial Hall for the Atomic Bomb Victims
All rights reserved. Unauthorized reproduction of photographs or articles on this website is strictly prohibited.
初めての方へ個人情報保護方針
日本語 英語 ハングル語 中国語 その他の言語