● สภาพโดยทั่วไปในวันที่ 6 สิงหาคม
ตอนนั้น ผมขึ้นรถไฟจากไซโจ แล้วมาต่อรถรางในเมือง โดยใช้เวลาเดินทางมากกว่า 1 ชั่วโมง เพื่อไปทำงานร่วมกับเด็กนักเรียนคนอื่นที่โรงงานผลิตเครื่องจักรกล บริษัทอุตสาหกรรมหนัก มิซูบิชิจำกัด จังหวัดฮิโรชิมา ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลมินามิ คันนอง ผมมีพี่น้อง 5 คน ผมเป็นคนที่ 4 กล่าวคือผมมีพี่ชาย 1 คน พี่สาว 2 คน และน้องสาว 1คน พี่ชายออกไปเป็นทหารที่กิวชู ส่วนผมเรียนอยู่ที่โรงเรียนนิจู ( โรงเรียนมัธยมต้นประจำจังหวัดฮิโรชิมาไดนิจู ) ตั้งแต่ผมขึ้นชั้นมัธยมที่ 2 ไม่เคยมีการเรียนการสอนเลย ผมถูกส่งไปตามโรงงานทางโน้นบ้างทางนี้บ้าง ตั้งแต่ปลายปี ค.ศ.1944 ผมได้เข้าทำงานที่โรงงานมิตซูบิชิ คันนอง
วันที่ 6 สิงหาคม ระเบิดปรมาณูระเบิดระหว่างทางที่ผมและเพื่อนนักเรียน 4-5 คน กำลังมุ่งหน้าไปที่โรงงาน ตอนนั้นคิดว่าผมคงอยู่ใกล้ๆกับสนามเอนกประสงค์ ตำบลมินามิคันนอง ห่างจากจุดระเบิด 4 กิโลเมตร เช้านั้น ถ้าผมขึ้นรถรางช้าไปอีกขบวน ณ เวลาที่ระเบิดปรมาณูระเบิด ผมคงจะอยู่ในรถราง และตายทันทีจากระเบิดที่สะพานไอโออิ ผมรู้สึกว่า ผมรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดทีเดียว
ในวินาทีที่เกิดระเบิดปรมาณู มีแสงสว่างวาบมามาจากทางด้านหลัง ผมจำได้ว่าร้อนที่คอ หลังจากนั้นก็มีลมปะทะแรงจัดที่เกิดจากแรงระเบิด ผมล้มคว่ำ และหมดสติไปประมาณ 5 นาที เมื่อลืมตาขึ้น และกวาดสายตาไปรอบๆ โรงงานซึ่งอยู่ห่างจากจุดระเบิด 4 กิโลเมตร เหลือแต่โครงเหล็ก หลังคาถูกลมพัดปลิวหายไปหมด
เกิดอะไรขึ้นนี่ โรงงานที่จะไประดมพลถูก B29 ทิ้งระเบิดกระมัง ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่ถูก B29 ทิ้งระเบิด แต่นั่นคงจะเป็นถังแก๊สที่
มินามิมะจิที่เกิดระเบิดขึ้นมาต่างหาก ความคิดเห็นในหมู่เพื่อนนักเรียนแตกต่างกันออกไป สัญญาณเตือนภัยน่าจะก็ถูกยกเลิกออกไปแล้ว ตอน 8 โมง 15 นาที เป็นช่วงที่ปลอดภัย ก่อน 8 โมงมีสัญญาณเตือนภัยการโจมตีทางอากาศ 1 ครั้ง แต่ก็เปลี่ยนเป็นสัญญาณระวัง และสัญญาณนี้ได้ถูกยกเลิกไปตอนราวๆ 8 โมง 5 นาที ไซเรนบอกยกเลิกนั้น ผมก็ได้ยิน
หลังจากนั้นก็มีคำสั่งออกมาว่า “ขอให้คนที่มาในวันนี้ กลับไปบ้านของตัวเองก่อนเนื่องจากตัวเมือง ถูกไฟไหม้ราบหมดทั้งเมือง”ท่ามกลางฝนดำที่ตกลงมา ผมมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ผ่านเอบะ โยชิจิมา จนถึงเซนดะ ต่อไปทางด้านฮิจิยามา ข้ามสะพานมิยูกิ ตอนที่ข้ามสะพานมิยูกิผมถูกคนหลายคนดึงที่ขา พร้อมกับพูดว่า “ ขอน้ำหน่อย ขอน้ำหน่อย”ผมคิดว่าคนคงจะแค่บาดเจ็บเท่านั้น เพราะผมยังคาดไม่ถึงว่าทำไมผู้คนมากมายจึงได้รับบาดเจ็บและถูกไฟลวก“พี่ชาย ขอน้ำ ขอน้ำ ผมบาดเจ็บ คอ.....”แม้จะถูกดึงขาขอน้ำ แต่ผมก็ได้แต่รู้สึกกลัว โชคดีที่ตอนที่เกิดระเบิดผมไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เมื่อมีคนบาดเจ็บจำนวนมากอยู่ต่อหน้าต่อตา ผมได้แต่งงทำอะไรไม่ถูกเดินไปข้างหน้าท่าเดียว
ตอนที่ผมผ่านเชิงเขาฮิจิยามา ผมจำภาพร่างกายที่แดงเถือกของทหารคนหนึ่งได้ ผิวหนังทั้งตัวของเขาหลุดห้อยลงมา แต่เขายังมีลมหายใจอยู่ ช่างเป็นสภาพที่โหดร้ายทารุณเหลือเกิน เขามองมาที่ผม ชี้นิ้วไปที่ศพ แล้วพูดว่า “ นี่ ฉันจะขนศพขึ้นรถเข็น พี่ชายช่วยยกด้านขาหน่อย”แต่ผมกลัว และไม่สามารถทำได้ อาจจะเป็นเพราะว่าบริเวณเชิงเขาฮิจิยามานี้อยู่ห่างจากจุดระเบิดกระมัง คนส่วนใหญ่ไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง และมีคนเป็นจำนวนมากช่วยกันขนศพ ทหารคนนั้นคงจะเสียชีวิตภายในเวลาไม่กี่วันต่อมา
ในที่สุดผมก็มาถึงสถานีไคตะในตอนดึก เวลากี่โมงผมไม่ทราบ ผมได้ข่าวว่าในตอนดึกวันนั้นอาจจะมีรถไฟออกจากไคตะไปทางไซโจ 1 ขบวน ผมคงจะรออยู่มากกว่าหนึ่งชั่วโมงกระมัง ในที่สุดก็ได้ขึ้นรถไฟ คนเบียดกันแน่นมาก รถไฟมาถึงไซโจ ท่ามกลางความมืดสนิทจนไม่รู้ว่าใครคือคนที่มารับ เนื่องจากเป็นสมัยที่มีการควบคุมแสงไฟ เป็นสมัยที่ไม่อนุญาตให้เปิดไฟ หรือจุดตะเกียงไฟ เราได้ยินแต่เสียงคนที่มารับพูดว่า“แย่นะ ดูเหมือนว่าจะแย่มากทีเดียวล่ะ”โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร
● สภาพตั้งแต่วันที่ 7 เป็นต้นไป
ข่าวที่ว่าลุงของผมซึ่งทำงานอยู่ที่ฮิจิยามาถูกระเบิด ทำให้ป้ากับผมต้องเข้าไปที่ฮิโรชิมาด้วยกันเพื่อค้นหาลุง วันที่ 7 เราออกจากบ้านกันตั้งแต่เช้าตรู่ไปที่อุจินะ ตามข่าวที่ว่าลุงผมถูกพาไปรวมไว้ที่นั่น เรานั่งรถบรรทุกเข้าไป หรือเข้าเมืองโดยวิธีใดผมจำไม่ค่อยได้ แต่โชคดีที่ผมเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมต้นนิจูอยู่ 3 ปี ทำให้ผมรู้จักถนนหนทางในตัวเมืองดี ผมเลยคิดว่าผมต้องมากับป้าเพื่อมาช่วยบอกทาง
เราพบลุงที่ค่ายกักกันอุจินะ ผมจำได้ว่าค่ายกักกันนี้อยู่ใกล้กับท่าเรืออุจินะ เคยเป็นโกดังมาก่อน “อ๊ะ คนนี้ เพิ่งหมดลมหายใจไปเดี๋ยวนี้เอง ช่วยกันหามออกไปเถอะ”ทหารพูดแล้วก็หามศพออกไปเรียงไว้ที่ระเบียงทางเดิน “นี่ มีคนตาย ช่วยยกด้านหัวหน่อย”เสียงทหารอีกคนบอกผม แต่ผมกลัว ไม่ได้ช่วยเขา คนอีก 2-3 คนเข้ามาช่วยกันหามคนตายออกไปไว้ที่ระเบียง เด็กผู้หญิงสาวๆอายุราวๆ 20 ปี ก็ถูกไฟลวกไหม้ตัวดำปี๋ ถูกจับให้นอนเปลือยกายอยู่
จากอุจินะ เราพาลุงกลับไปที่บ้านที่ไซโจ หลังจากนั้น 3 วันคือวันที่ 10 สิงหาคม ลุงก็เสียชีวิต เราเผาศพลุงที่สถานฌาปนกิจศพใกล้บ้าน ผมก็ไปช่วยด้วย ส่วนป้า เสียชีวิตเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ป้าใช้ชีวิตอยู่กับลุงได้เพียง 9 ปี
● ความเป็นอยู่ภายหลังที่ถูกระเบิด
โรงเรียนนิจูเปิดเรียนอีกครั้งราวๆปลายเดือนตุลาคม หรือต้นเดือนพฤศจิกายนกระมัง ที่คันนองตรงที่เคยเป็นที่ตั้งของโรงเรียนถูกถมและสร้างเป็นห้องแถวเล็กๆขึ้น ผมจำได้ว่า เรานั่งหนาวตัวสั่นเรียนหนังสือกัน ท่ามกลางหิมะที่ตกลงมาอย่างไม่คิดฝัน ปราศจากเครื่องทำความอุ่นใดใดทั้งสิ้น ไม่มีแม้แต่กระจกหน้าต่าง ก่อนที่จะกลับมาเรียนกันที่คันนองอีกครั้ง ทางโรงเรียนได้ไปขอยืมตึกเรียนของโรงเรียนสตรีประจำไคตะใช้บ้าง หรือไม่ก็ขอยืมโรงเรียนประถมเล็กๆที่ไม่ได้รับความเสียหายใช้ เพื่อเปิดสอนให้แก่เด็กนักเรียน
ผมเองต้องการเรียนต่อ ถ้าผมไม่ไปเรียนก็จะไม่ได้หน่วยกิต ผมจึงต้องทนหนาวไปเรียนหนังสือ ถึงจะเป็นแค่ห้องแถวเล็กๆ แต่ก็ช่วยให้พวกเราได้เรียนหนังสือกัน แค่นี้ผมก็ไม่รู้ว่าจะขอบคุณยังไงแล้ว ตามระบบเก่าเราจะสำเร็จการศึกษาและได้รับประกาศนียบัตรเมื่อเรียนจบชั้นมัธยมต้นปีที่ 5 ผมสำเร็จการศึกษาปีค.ศ. 1947 หลังจากนั้น ผมก็ไปเรียนต่อที่สถาบันเทคโนโลยีประจำจังหวัดฮิโรชิมาที่เซนดะมะจิ
หลังจากที่ผมจบการศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยี ช่วงปีค.ศ. 1955 เป็นปีที่ปริมาณการใช้รถยนตร์ทั่วโลกเริ่มขยายตัว ทำให้ผมคิดตั้งโรงเรียนสอนขับรถยนต์ ผมกับเพื่อนเริ่มจากการเอาพลั่วมาขุดทางวิ่งกันเองเลย ผมใช้หน่วยกิตที่ได้จากการเรียนในสถาบันเทคโนโลยีไปขอวุฒิบัตรเพื่อเป็นครูสอนภาคทฤษฎี และความชำนาญทางภาคปฏิบัติ ผมทำงานที่โรงเรียนสอนขับรถยนต์ในเมืองในตำแหน่งหัวหน้าอาจารย์ ตั้งแต่ปีค.ศ. 1960
ปีค.ศ. 1966 ผมลาออกจากโรงเรียนสอนขับรถยนต์ เพราะพี่ชายผมอยากทำธุรกิจเกี่ยวกับบ้านพักคนชรา และอยากให้ผมไปช่วย ผมเลยออกมาช่วยพี่ชายทำธุรกิจ พี่ชายผมเป็นถึงนายกสมาคมแพทย์ ผมภูมิใจในตัวพี่ชายผมมาก บ้านพักที่อยู่ไกลๆ เช่นที่มิยาจิมา และที่ยูกิ ผมจะเป็นคนขับรถพาพี่ชายซึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลไปเอง ผมต้องเป็นคนขับรถด้วยตัวเองเพราะคิดว่านั่นเป็นหน้าที่ที่ผมต้องทำเพื่อช่วยพี่ชาย เราพี่น้อง 2 คนช่วยกันทำธุรกิจมาด้วยกัน แต่พี่ชายผมต้องมาเสียชีวิตลงด้วยโรคเส้นเลือดในสมองแตก ผมนอนไม่หลับอยู่ 3 วัน 3 คืน พี่ชายผมตั้งหน้าตั้งตาเรียน ส่วนผมก็เป็นนักกีฬา เรากอดคอทำร่วมกันมา การที่พี่ชายผมต้องเสียชีวิตลงเป็นสิ่งที่น่าเสียดายอย่างที่สุด
● หน้าที่การงาน ชีวิตสมรส และผลสืบเนื่อง
อีกไม่เท่าไรก็จะครบ 50 ปีที่ผมกับภรรยา แต่งงานกันมา ตอนแต่งงาน ผมไม่ได้บอกว่า ผมถูกระเบิดปรมาณู เพราะกลัวว่าจะถูก
กีดกัน แต่ผมตัดสินใจบอกกับภรรยาด้วยตัวเองว่า “ ฉันถูกระเบิดด้วยแต่ไม่มาก ตอนนั้นฉันทำงานอยู่ที่มิซูบิชิ ซึ่งอยู่ห่างออกไป 5 กิโลเมตรที่สุดเขตมินามิคันนอง ฉันไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร”ภรรยาผมดูไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้ ลูกชายผมเป็นเภสัชกร มีความรู้ และรู้ว่าตัวเองเป็นลูกของผู้ที่ถูกระเบิดปรมาณู เราเป็นกังวลตอนที่ลูกชายกับลูกสาวเกิด เราแอบตรวจสอบจนแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปรกติ
ผลสืบเนื่องที่ทำให้ผมเป็นห่วงก็คือ แม้เวลาจะผ่านไปถึง 10 ปีหลังจากที่ถูกระเบิด ที่บริเวณด้านหลังคอของผมมีปุ่มนูนเกิดขึ้น เขาบอกผมว่าเป็นเนื้องอกดี ไม่ใช่เนื้อร้าย แต่ก็เป็นก้อนปูดใหญ่ทีเดียว บริเวณที่เกิดเนื้องอกคือบริเวณที่ถูกลำแสงจากด้านหลังตอนที่เกิดระเบิด ผมเคยผ่าตัดเพื่อเอาก้อนเนื้อออกแล้ว แต่ 10 ปีให้หลังก็งอกขึ้นมาอีก แต่ระยะหลังนี้ ไม่มีเนื้องอกเกิดขึ้นมาอีกแล้ว นอกจากเรื่องนี้ อาการป่วยอื่นๆที่คิดกันว่ามีสาเหตุมาจากกัมมันตภาพรังสีก็มีเรื่องฟันที่จะเสื่อมเร็วกว่าคนอื่น อาการจะต่างกันไปแล้วแต่คน บางคนผมร่วง แต่สำหรับผม ไม่ร่วง แต่ที่พูดได้ว่าจะเป็นเหมือนกันหมดทุกคนก็คือ คนที่ถูกระเบิดปรมาณูจะเหนื่อยง่าย ในทุกกรณี ถึงจะทำงานเหมือนคนอื่นแต่จะเหนื่อยง่ายกว่า ซึ่งอาจจะเป็นเหตุให้เจ้านายมองว่าขี้เกียจ และถูกเจ้านายดุว่า “ คนอื่นเขาทำงานแค่นี้ไม่เหนื่อย แต่คุณเหนื่อย ไม่ขี้เกียจไปหน่อยเหรอ ” สำหรับในเรื่องงานแล้ว การเหนื่อยง่ายเป็นเรื่องเสียเปรียบ
● เพื่อสันติภาพ
การเล่าให้เด็กรุ่นใหม่ฟังว่าระเบิดปรมาณูคืออะไร สันติภาพคืออะไร ผมคิดว่าคนเล่าจะต้องมีวิธีในการเล่า ในชั่วพริบตาที่เกิดระเบิด พริบตาเดียวนั้นตึกพังทลาย พริบตาเดียวนั้นคนจำนวนมากเสียชีวิต การเล่าเรื่องนี้ต้องมีวิธีการ การเล่า แค่คำพูดที่ว่า “แย่แล้ว แย่แล้ว ”หรือ “ความรู้สึกผิดที่ไม่ได้ให้น้ำแก่คนที่มาขอ หรือการวิ่งหนีไปเฉยๆทั้งๆที่เห็นว่าไฟกำลังไหม้อยู่ใต้สะพาน”นั้น ผมคิดว่าไม่ได้ถ่ายทอดอะไรให้กับคนฟัง หรือการบอกว่า“ มีอาคารเอกสารเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ที่สวนสันติภาพ ไปดูซิ มีต้นไม้สันติภาพด้วย ”เพียงแค่นี้ก็ไม่ได้เป็นการถ่ายทอดให้เห็นถึงความโหดร้ายทารุณของระเบิดปรมาณู ดีไม่ดี อาจทำให้คนฟังคิดว่า ระเบิดปรมาณูไม่ได้ร้ายแรงอะไรเลยด้วยซ้ำ วันก่อนที่เกิดพายุทอร์นาโดขึ้นที่ฮอกไกโด มีคนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ผมเห็นภาพแล้วช่างเหมือนกับชั่วอึดใจนั้นของระเบิดปรมาณูมาก เป็นภาพที่รุนแรงดูแล้วก่อให้เกิดความรู้สึกร่วมไปกับเหตุการณ์จริง ผมว่าแม้แต่เด็กเล็กภาพนั้นก็คงถ่ายทอดอะไรให้แก่พวกเขาบ้างเป็นแน่ ระเบิดปรมาณูก็เหมือนกัน น่าจะถ่ายทอดได้จากความหายนะต่างๆที่เกิดขึ้นตามความจริง การพังทลายแบบนั้น การที่ไฟลุกไหม้ และมีคนเสียชีวิตถึง 200,000 คนในชั่วพริบตา
หลังจากที่เกิดระเบิดไม่นาน ช่างภาพอาชีพจากหนังสือพิมพ์ไมนิจิ และอาซะฮิ ได้เข้าไปที่ฮิโรชิมา และถ่ายสภาพอันน่าเสร้าสลดออกมาหลายภาพ พวกเขาบอกว่า พวกเขาเคยไปสนามรบมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ก็พูดได้ว่า ไม่เคยมีสนามรบแห่งใดที่มีสภาพที่น่าสังเวช หดหู่เท่ากับระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาเลย ทำยังไงเราถึงจะถ่ายทอดสภาพที่น่าสมเพชเวทนานี้ออกมาได้ สำหรับตัวผม ผมคิดว่า คนเล่าจำเป็นต้องมีวิธีการเล่า
สุดท้ายนี้ ผมในฐานะนักเรียนนิจู นักเรียนรุ่นน้องผมเป็นจำนวนมากเสียชีวิตเพราะระเบิดปรมาณู นอกจากนี้ ในระยะหลังเพื่อนรุ่นเดียวกันก็เสียชีวิตไปก็มี พี่ชายคนเดียวก็เสียชีวิตไป ผมรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว ปัจจุบันตัวผม ไปไหนมาไหนเองไม่ได้ ต้องให้ภรรยาดูแล ผมอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสัก 2 ปี เพื่อเล่าประสบการณ์ของตัวเองอย่างหมดเปลือก สองอาทิตย์ครั้งก็ได้ ให้เด็กเล็กก็ได้ เด็กประถมก็ได้ฟัง ถ้าสิ่งนี้เป็นไปได้ ผมคิดว่าชีวิตในช่วงสุดท้ายของผมคงจะมีความสุขที่สุด
|