●การดำรงชีวิตในระหว่างสงคราม
ฉันเกิดที่หมู่บ้านโทโนกะ อำเภอยามากะตะ จังหวัดฮิโรชิมา (ภายหลังถูกเปลี่ยนชื่อเป็นตำบลคาเคะและในปัจจุบันคือตำบลอะคิโอตะ)ในปี ค.ศ. 1921ซึ่งตรงกับปีโชวะ ที่10
ประมาณปีค.ศ. 1926 หรือค.ศ. 1927 ฉันได้แยกจากพ่อแม่ไปอยู่ที่หมู่บ้านซึซึกะ ( ปัจจุบันคือตำบลอะคิโอตะ)โดยได้อาศัยอยู่ที่บ้านอาจารย์สอนมารยาทที่มีชื่อเสียงและเข้มงวดท่านหนึ่งเพื่อเรียนการชงชาญี่ปุ่น การจัดดอกไม้ และมารยาทผู้ดีอื่นๆ การเรียนวิชาเหล่านี้ถือว่าเป็นคุณประโยชน์กับชีวิตคนเรามาก หลายปีหลังจากนั้นอาจารย์ท่านนั้นก็ได้เสียชีวิตลง ฉันถูกขอร้องให้เป็นหัวหน้าครูที่หมู่บ้านซึซึกะ ฉันได้ทำงานอยู่ที่นั่นโดยได้รับเงินเดือนจากหมู่บ้าน
ระหว่างนั้นฉันได้รู้จักกับหลานชายของผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านโทโนกะชื่อ คาวาโมโตะ ฮิซาชิ และได้แต่งงานกันในปี ค.ศ.1944 ( ปีโชวะที่ 19 ) ที่เราได้มีโอกาสรู้จักกันก็เพราะพ่อของฉันทำงานที่ที่ว่าการของหมู่บ้านโทโนกะหลังจากแต่งงานก็ไปอยู่กับพ่อแม่สามีรวม 4 คน ( พ่อสามีชื่อ คาเมะ ซาบุโร แม่สามีชื่อ เซคิโยะ) ที่บ้านใกล้สะพานซุรุมิ ตำบลฮิจิยามา ฮอมมะจิในเมืองฮิโรชิมา สามีทำกิจการขายนาฬิกา แต่เนื่องจากในเมืองๆหนึ่งไม่จำเป็นต้องมีธุรกิจแบบเดียวกันนี้หลายร้าน สามีจึงออกไปทำงานข้างนอก ประกอบกับสถานการณ์สงครามเข้มงวดมากขึ้น บ้านหนึ่งหลังก็ไม่จำเป็นต้องมีแม่บ้านเต็มตัวถึงสองคน ยุคนี้เป็นยุคที่ผู้หญิงทำงานนอกบ้านได้ ฉันก็เลยไปทำงานในโรงงานผลิตอาวุธสงครามที่ตำบลคาสุมิที่พ่อสามีทำงานอยู่ตั้งแต่วันรุ่งขึ้นถัดจากวันแต่งงาน
●ก่อนการทิ้งระเบิดปรมาณู
บ้านเกิดของแม่สามีก็อยู่ที่หมู่บ้านโทโนกะเช่นเดียวกับกับฉัน เราวางแผนกันว่าจะกลับไปหมู่บ้านโทโนกะในวันที่ 3 สิงหาคม แต่แล้วจู่ๆตอนเช้าของวันที่ 3 แม่สามีก็บอกว่า “หนูไปล่วงหน้าก่อนเถอะ ตัวแม่จะขอกลับไปตอนเทศกาลเคารพบรรพบุรุษ (โอโบ้ง) สัก 10 วัน ” ดังนั้นก็เลยเป็นว่าฉันกลับไปบ้านเกิดที่หมู่บ้านโทโนะกะตั้งแต่วันที่ 3 ถึง 5 สิงหาคมคนเดียว ตอนที่ฉันกำลังข้ามสะพานซุรุมิอยู่ แม่สามีก็วิ่งตามมา ยื่นร่มกันแดดที่อยู่ในสภาพดีมาให้แล้วพูดว่าขืนเก็บ ไว้ที่ฮิโรชิมา เวลามีการทิ้งระเบิดทางอากาศก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง ให้ฉันเอาร่มนี้ไปไว้ที่บ้านเกิด แล้วก็พูดกับฉันว่า “ฝากความคิดถึงถึงคุณพ่อคุณแม่ด้วย แล้วให้กลับมาวันที่ 5 ตามสัญญานะ” นี่คือคำพูดสุดท้ายของแม่สามี แต่ทว่าตอนนั้นฉันไม่ได้คิดว่านั่นจะเป็นคำพูดสุดท้ายเลย พอกลับมาอยู่บ้านเกิดก็รู้สึกอยากจะอยู่สบายๆและอยู่ให้นานที่สุด ฉันก็เลยตั้งใจว่าจะขึ้นรถเมล์เที่ยวสุดท้ายของวันที่ 5 กลับ แต่ทว่าพอจะกลับจริงๆรถเมล์ที่ตั้งใจจะขึ้นก็ถูกยกเลิก เมื่อช่วยไม่ได้ฉันก็เลยวกกลับมาที่บ้านพ่อแม่ พอพ่อรู้ว่าฉันไม่ได้กลับก็ดุว่าฉันและบอกว่า “คนที่ไม่รักษาสัญญานั้นใช้ไม่ได้ ต้องขอโทษคุณพ่อคุณแม่บ้านคาวาโมโตะ” และได้ส่งโทรเลขไปยังบ้านคาวาโมโตะมีข้อความว่า “ จะให้จิโยโกะกลับไปแน่ๆในวันรุ่งขึ้น ”
●ตั้งแต่วันที่ 6 ถึงวันที่ 9 สิงหาคม
วันรุ่งขึ้น ( 6 สิงหาคม ) เนื่องจากเกินเวลาที่ได้สัญญาไว้ ฉันควรจะรีบออกเดินทางจากบ้านตั้งแต่เช้า แต่ฉันกลับไม่ได้รีบร้อนอะไร ถ้าเผอิญฉันรีบออกจากบ้านแต่เช้า ฉันคิดว่าฉันคงจะเข้ามาอยู่ใกล้กับที่ๆระเบิดปรมาณูถูกทิ้งลงมามากขึ้น และแล้วก็ถึงเวลา 8 นาฬิกา 15 นาที หลังจากที่รู้สึกว่ามีแสงสว่างแปลบขึ้น ก็มีเสียงดังมากเหมือนกับแผ่นดินสะเทือนตามมา ทันใดนั้น ก็มีเศษกระดาษที่มีตัวหนังสือเขียนว่า “เมืองฮิโรชิมา” ที่ฉีกขาดและไหม้เกรียมลอยมา เมื่อเห็นดังนั้นฉันก็คิดว่าคงจะเกิดอะไรขึ้นที่ในเมือง ฮิโรชิมาแน่ๆ หลังจากนั้นสักครู่ก็มีข่าวแจ้งว่าเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นที่เมืองฮิโรชิมาเหมือนอย่างที่ฉันคิดจริงๆ ฉันคิดจะกลับฮิโรชิมาแต่
เมืองฮิโรชิมาตอนนั้นไม่ได้อยู่ในสภาพที่ผู้หญิงและเด็กจะไปเดินได้ ฉะนั้นพ่อของฉันจึงได้เดินไปดูสภาพภายในเมืองฮิโรชิมาก่อน ตอนแรกไปที่บ้านที่ฉันอยู่ที่ตำบลฮิจิยามา ฮอมมะจิ ก็ดูเหมือนว่าบ้านจะถูกไฟไหม้หมด ที่ตรงบริเวณซากบ้านมีแผ่นป้ายเขียนว่า “ อยู่กันที่ที่พักโรงงานผลิตอาวุธ ” ปักอยู่ พ่อก็เลยตามไป และได้พบกับสามี พ่อสามีและแม่สามีที่นั่น แต่แม่สามี ถูกไฟลวกอย่างหนักได้รับความทุกข์ทรมานมากถึงขั้นโคม่าแล้ว หลังจากที่พ่อตรวจดูสภาพของสามีและพ่อแม่ของสามีแล้ว ก็ดูเหมือนว่าพ่อได้ไปดูสภาพของลุงที่อาศัยที่ตำบลฮิกาชิฮักคุชิมะด้วย บ้านลุงนั้นพังราบและลุงได้หนีไปหลบภัยที่โคอิ ส่วนลูกพี่ลูกน้องที่เป็นนักเรียนซึ่งถูกเกณฑ์ไปสร้างอาคารหลบภัยนั้นเสียชีวิต
พ่อนั้น หลังจากเดินไปโน่นมานี่แล้วก็กลับมาที่หมู่บ้านโทโนกะ เมื่อรู้จากพ่อว่าครอบครัวสามีอยู่กันที่ที่พักโรงงานผลิตอาวุธ ฉันก็ขึ้นรถเมล์และรถไฟ (สายคาเบะ) เข้าไปในเมืองฮิโรชิมาในวันที่ 8 สิงหาคม ระหว่างทางบริเวณที่โล่งหน้าสถานีรถไฟคาเบะ มีคนที่บาดเจ็บสาหัสจนแทบจะไม่มีลมหายใจนอนอยู่เต็มไปหมด ที่หมอนมีกระป๋องวางอยู่เพียงใบเดียว คนที่มาตามหาสมาชิกครอบครัวจะเข้าไปจ้องดูและเรียกชื่อ แต่ไม่มีใครมีเรี่ยวแรงที่จะขานรับ ฉันเห็นสภาพคนบาดเจ็บมากมายแบบนั้นแล้วทำให้ฉันนึกห่วงครอบครัวเป็นอย่างมาก
รถไฟวิ่งมาหยุดที่สถานีมิทาคิ ผู้โดยสารถูกให้ลงจากรถ จากตรงนั้นฉันก็แบกข้าว บ๊วยดองและของอื่นๆที่ได้รับมาจากบ้านเดินมุ่งหน้าไปสู่ที่พักโรงงานผลิตอาวุธ แต่รอบๆตัวฉันมีแต่ที่โล่งเตียนที่ถูกเผาไหม้ ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหนดี มองไปทางไหนก็ไม่เห็นมีสิ่งก่อสร้างใดที่พอจะใช้เป็นที่สังเกตได้ ฉันก็เลยเดินวนไปวนมา มองไปเห็นมีกองไฟลุกอยู่ก็คิดว่าจะมีผู้คนอยู่บริเวณนั้น ด้วยความที่อยากจะถามหนทางจึงเดินแวะเข้าไป แต่พอเดินเข้าไปใกล้ถึงได้รู้ว่าเป็นกองไฟที่เผาคนตาย มีศพถูกเผาอยู่ทั่วไปหมดไม่เกี่ยงว่าจะเป็นบนสะพาน ถนนหรือกลางทุ่งนา ถึงแม้ ภาพการเผาศพจะเข้ามากระทบสายตา ฉันก็ไม่รู้สึกอะไรและก็ไม่รู้สึกเหม็นด้วย นี่คงจะเป็นเพราะ ประสาทรับรู้ของฉันด้านชาไปนั่นเอง
ในที่สุดฉันก็เดินทางมาถึงที่พักโรงงานผลิตอาวุธตอนตี 3 ของวันที่ 9 สิงหาคม ตอนที่ไปถึงแม่ของสามีได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่ศพยังอยู่ตรงบริเวณนั้นเพราะเพิ่งเสียชีวิตไปได้ไม่กี่ชั่วโมง ตอนที่ระเบิดปรมาณูถูกทิ้งลงมา แม่สามีกำลังออกไปไร่ ร่างกายเกือบทุกส่วนถูกไฟลวก คางและหน้าอกถูกไหม้เกรียม มองแล้วเป็นสภาพที่น่ากลัวมาก พ่อสามีเล่าว่า เสียงครางของแม่ที่เคยมีมาตลอดได้เงียบไป พอจุดเทียนส่องดูถึงได้รู้ว่าเสียชีวิตเสียแล้ว วันรุ่งขึ้นพ่อสามีทำหีบไม้ เอาศพของแม่ใส่แล้วนำไปเผาที่ไร่มัน
●การตายของสามี
ตอนที่ระเบิดตกสามีอยู่ในบ้าน ไม่ได้ถูกไฟลวกแต่อย่างใด มองด้วยตาก็ไม่เห็นมีร่องรอยบาดเจ็บอะไร สามีได้ยินเสียงกรีดร้องของแม่ที่กำลังทำไร่อยู่จึงออกจากบ้านเพื่อไปช่วย
ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาตอนตี 5 ของวันที่ 15 สิงหาคม สามีพูดว่า “ยังไม่ต้องตื่นก็ได้ไม่ใช่หรือ” แต่วันนั้นเป็นวันครบรอบตาย 7 วันของแม่สามีก็เลยคิดจะทำขนมข้าวเหนียวปั้นเป็นของเซ่นให้แม่ จากนั้นฉันก็ต้มข้าวต้มสำหรับเรา 3 คน พอเรียกให้สามีมาทานก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา ภายในห้องขนาด 4.8 ตารางเมตร สามีนอนเคียงกับพ่อสามี แม้แต่พ่อก็ไม่รู้ว่าสามีเสียชีวิต เราอยากทำการเผาศพเร็วๆเพราะ แมลงวันจะมาตอมที่ศพ ด้วยเหตุนี้แม้ตามความเป็นจริงแล้ววันที่สามีเสียชีวิตคือวันที่ 15 แต่เราได้แจ้งตอนยื่นทำใบมรณะบัตรว่าเสียชีวิต วันที่ 14 เพื่อให้ทำการเผาศพได้ในวันนั้นเลย พ่อสามีเป็นคนทำโลงศพ นำร่างของสามีใส่ในโลงและทำการเผา ตอนที่เผาศพแม่สามีนั้นพ่อสามีรู้สึกเศร้ามากที่ต้องเป็นคนจุดไฟเผาศพ ตอนเผาสามีก็เลยขอร้องให้ฉันเป็นคนจุดไฟ จริงๆแล้วมีข้อห้ามไม่ให้จุดไฟเผาคนที่มีลมหายใจอยู่จนกระทั่งถึงเช้าวันนั้น แต่ถึงกระนั้นก็จำเป็นต้องเผา ฉันเป็นคนจุดไฟ แต่พอไฟเริ่มลุกฉันก็ไม่สามารถทนอยู่ตรงบริเวณนั้นได้ ฉันคิดว่าจะเดินออกห่างจากที่นั้นแต่ขาก็สั่น จะยืนก็ไม่ได้จะเดินก็ไม่ได้ ช่วยไม่ได้จึงคลานกลับออกมา แต่เนื่องจากมีการเผาศพอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง พื้นดินยังคงร้อนระอุอยู่ ฝ่ามือ หน้าแข้งและเท้า ของฉันจึงถูกไฟลวก
วันรุ่งขึ้นฉันไปเก็บกระดูกของสามี เมื่อมองไปบนท้องฟ้า ก็เห็นเครื่องบินของฝ่ายศัตรูบินอยู่แต่ไม่มีสัญญาณเตือนภัยก็ให้นึกประหลาดใจเพราะฉันไม่รู้ว่าสงครามได้สิ้นสุดลงแล้ว
●โปตัสเซียม ไซยาไนด์สำหรับฆ่าตัวตาย
ที่โรงงานผลิตอาวุธ จะมีการแจกโปตัสเซียม ไซยาไนด์ให้กับผู้หญิงทุกคน ที่แจกยานี้ก็เพราะถ้าผู้หญิงถูกรังแกโดยทหารอเมริกันล่ะก็จะเป็นเรื่องน่าบัดสี ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นก็ให้กินยานี้ ตอนสามีตาย ฉันเคยคิดที่จะกินยานี้ เพราะไม่มีความหมายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ระหว่างที่พ่อสามีไปยื่นใบมรณะบัตรที่ที่ว่าการอำเภอ ฉันคิดว่าจะเอายานั้นใส่ปากแล้วดื่มน้ำตามไป แต่ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเวลาพ่อสามีกลับมา แล้วพบว่าฉันตายไปอีกคนหนึ่ง พ่อจะรู้สึกอย่างไร ฉันจะตายไม่ได้ ฉันมีหน้าที่จะต้องดูแลพ่อสามี พอคิดได้ดังนั้นฉันจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะกินยานั้น ตอนเผาศพสามี ฉันได้ตัดผมที่ยาวของฉันเผาไปพร้อมกับสามีด้วยแล้วพูดว่า “ขอโทษด้วยนะที่ฉันติดตามไปด้วยไม่ได้ ผมนี่เป็นตัวแทนความรู้สึกของฉันนะ” คิดๆดูถ้าไม่มีพ่อสามีอยู่ล่ะก็ฉันคงกินโปตัสเซียม ไซยานายด์ตายไปแล้ว
หลังจากที่กลับไปที่หมู่บ้านโทโนกะแล้ว ถ้าฉันยังเก็บรักษาโปตัสเซียม ไซยานายด์ไว้อย่างดีแบบนี้ แถมอยู่ใกล้มือด้วย จะทำอะไรก็ได้ไม่รู้ น้องชายคนเดียวของฉันก็เลยเอาไปเผาทิ้ง กลิ่นตอนที่เผาเหมือนอะไรบอกไม่ถูก
●การตายของพ่อสามี
ตอนที่อยู่ที่โรงงานผลิตอาวุธพ่อสามีได้รับกัมมันตรังสี พ่อถูกไฟลวกกลางหลังจึงต้องนอนคว่ำหน้าเวลานอน หลังจากที่สามีตายฉันก็คิดว่าจะไปที่หมู่บ้านโทโนกะกับพ่อสามี แต่แล้วพ่อสามีก็เสียชีวิตไปด้วยในวันที่ 25 สิงหาคม ตอนนั้นฉันอายุ 24 ปี สูญเสียแม่สามี สามี และพ่อสามีไปหมด เหลือเพียงลำพังคนเดียว ฉันคิดว่าตัวเองตายไปด้วยก็คงจะดีแต่ฉันต้องรับผิดชอบนำเอากระดูกของคนทั้งสามกลับไปสู่ครอบครัวที่บ้านเกิด ดังนั้นฉันจะยังตายไม่ได้
●ไปหมู่บ้านโทโนกะ
ในที่สุด ฉันก็นำกระดูกของสามี พ่อสามีและแม่สามีกลับไปที่หมู่บ้านโทโนกะในวันที่ 6 กันยายน และได้จัดงานศพที่บ้านญาติของสามี ตอนนั้นฉันผอมมาก สภาพร่างกายก็ย่ำแย่ พี่ๆน้องๆจึงช่วยกันดูแลฉัน ที่ฉันมีชีวิตอยู่มาได้ทุกวันนี้ก็เพราะความกรุณาของคนเหล่านี้ พี่ๆน้องๆเป็นผู้ที่มีบุญคุณกับฉันจริงๆ เวลาพวกเขากินอาหารกันก็จะให้ฉันกินด้วย สมัยนั้นเป็นสมัยที่ ไม่มีอะไรจะกิน ถึงจะรู้สึกว่าไม่อยากกิน แต่ถ้าไม่กินก็รู้สึกเสียดาย ฉันจึงฝืนใจกินอาหารเข้าไปซึ่งก็นับว่าเป็นผลดีต่อฉัน
หลังจากที่กลับไปอยู่ที่หมู่บ้านโทโนกะแล้วก็ได้ไปที่ในเมืองฮิโรชิมากับพ่ออีกหลายครั้ง แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันถูกชาวต่างชาติที่เคยตกเป็นเชลยวิ่งไล่ตามที่ในเมืองฮิโรชิมา เวลานั้นเป็นช่วงหลังจากที่เกิดไต้ฝุ่นชื่อมาคุราซากิ ฉันกำลังเหน็ดเหนื่อยจากการเดินวกวนไปบนที่ที่ไม่ใช่ถนนอยู่พอดี มันหน้ากลัวมาก ฉันวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต ฉันไม่มีทางลืมมันได้เลย
●แต่งงานใหม่
ฉันแต่งงานใหม่ในปี ค.ศ. 1957 คนที่ฉันแต่งงานด้วยนั้นมีลูกติด 3 คน คนเล็กสุดเป็นเด็กผู้ชายอายุได้ 2 ขวบ ตอนแรกคิดว่าจะบอกปฏิเสธเนื่องจากฉันไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน แต่พอได้พบกับเด็กๆที่น่ารักมากและตัวฉันเองก็คงไม่มีท่าทีว่าจะมีลูกเองได้ ถ้าได้เลี้ยงเด็กคนนี้คงจะมีความสุข ฉันก็เลยตัดสินใจแต่งงานในที่สุด
●ภาวะด้านสุขภาพ
ทุกวันนี้ ฉันยังกังวลด้านสุขภาพของฉันอยู่มาก ฉันไปหาหมอบ่อยๆ พอไปหาทันตแพทย์แถวบ้านเวลาถอนฟันแล้วเลือดไม่หยุดหมอก็บอกให้ไปหาอายุรแพทย์
เมื่อ 7 ปีก่อน ( ปี ค.ศ. 2001) ฉันได้รับการผ่าตัดมะเร็งรังไข่ มะเร็งได้แพร่ไปที่ลำไส้ทำให้ต้องตัดลำไส้ออกประมาณ 50 เซนติเมตร ฉันเป็นมะเร็งรังไข่ซึ่งเป็นโรคที่รักษายากแถมยังแพร่ไปที่ลำไส้อีก ที่ได้รับการช่วยไว้ได้นี้ก็เป็นเรื่องแปลกทีเดียว
ตอนที่เป็นมะเร็งรังไข่ ฉันรู้สึกทรมานมากเรื่องการกินอาหาร มาในระยะหลังฉันเริ่มรู้สึกอึดอัดอีกก็เลยไปโรงพยาบาล หมอตรวจพบว่าเป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ และให้เข้าโรงพยาบาลเลย
●การได้รับผลกระทบกัมมันตรังสี
ตัวฉันเองถึงแม้ว่าจะไม่ได้ถูกรังสีโดยตรงแต่ถูกแมลงวันวางไข่ที่มือ เท้า หลังและที่อื่นๆ มีหนอนทะลุออกมาจากผิวหนัง ตอนนั้นรู้สึกเจ็บมากๆ คล้ายกับตอนที่โดนตัวอาบุ ( แมลงกึ่งผึ้งกึ่ง แมลงวัน ) ต่อย ตอนนี้ก็ยังมีแผลเป็นที่หลังมากมาย ฉันจึงไม่อยากไปอาบน้ำที่บ่อน้ำร้อน หรือห้องอาบน้ำสาธารณะ
เวลาหมอที่โรงพยาบาลเห็นหลังของฉันก็มักจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น พอตอบว่านั่นเป็นสาเหตมาจากการถูกรังสีปรมาณู เคยถูกถามต่อว่าตอนที่โดนรังสีนั้นเปิดหลังอยู่หรือ ซึ่งมันไม่ได้เป็นอย่างที่ว่าหรอก
สันติภาพเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ฉันคิดว่าสงครามเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ ถึงแม้จะเป็นในบ้านก็ตาม ถ้ามีเรื่องระหองระแหงเกิดขึ้นก็เป็นเรื่องที่ไม่สนุก ดังนั้นต้องพยายามไม่ทำให้เกิดปัญหาขึ้น
|