● สภาพก่อนวันที่ 6 สิงหาคม
เวลานั้นบ้านของฉันอยู่ที่ตำบลคามิเทมมะ ครอบครัวมีกันสี่คนแม่ พี่ชาย พี่สาวและตัวฉัน พ่อชื่อ โอโมยะ โตชิโอะ เสียชีวิตในสงครามที่ประเทศจีนเมื่อปีค.ศ. 1938 เนื่องจากตอนที่พ่อเสียชีวิตในสงครามนั้น ฉันยังเล็กมากฉันจึงได้เห็นหน้าของพ่อแต่ในรูปเท่านั้น มีคนเล่าให้ฟังว่าเวลาที่ฉันดูรูปของพ่อที่ตั้งอยู่ในบ้านแล้ว ฉันก็จะพูดว่า “ไม่ได้เอารองเท้าแตะไปให้พ่อ พ่อก็เลยไม่ออกมาจากรูป”
แม่ชื่อชิซุโกะเป็นคนเลี้ยงดูพวกฉันมาแต่เพียงคนเดียว แม่เป็นคนที่มีความกระตือรือล้นในการศึกษามากกว่าคนอื่น แม้แต่ในระหว่างสงครามก็ยังให้พวกเราเรียนเขียนคัดลายมือ เต้นบันเล่ย์และอื่นๆ ตอนที่พี่ชายจะสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนมัธยมต้นก็ได้สวดบนบานโดยเดินวน 100 รอบทุกเช้า พอพ่อตายแม่ก็มีความคิดว่าสิ่งเดียวที่จะเหลือไว้ให้ลูกๆ ได้คือการศึกษา
ด้วยเหตุนี้ แม่จึงทำงานมากมายหลากหลายอย่างตั้งแต่เช้าจรดค่ำทุกๆวัน พี่ชายและพี่สาวจะช่วยแม่ทำงานส่งหนังสือพิมพ์ในตอนเช้า แม้ว่าฉันจะยังเล็กอยู่แต่ก็จำได้ว่าเดินตามหลังทุกคนไปด้วย
ถึงแม้ว่าแม่จะมีงานยุ่งทุกๆวัน แต่เราก็ยังมีครอบครัวของลุงที่อาศัยอยู่ในเมืองเดียวกัน และก็ยังมีครอบครัวปู่ที่อาศัยอยู่ที่ตำบลฮิโรเซะโมโตะซึ่งอยู่ใกล้ๆกันกับเมืองที่เราอยู่ด้วย นอกจากนี้ในสมัยนั้น เพื่อนบ้าน ก็ยังช่วยเหลือถ้อยทีถ้อยอาศัยกันได้เหมือนอย่างกับญาติ พวกเราจึงได้รับการดูแลช่วยเหลือจากคนที่อยู่รอบข้าง
ในช่วงนั้นโรงเรียนเป็นจำนวนมาก ดำเนินการอพยพหลบภัยกลุ่มและอพยพหลบภัยหมู่เครือญาติ ฉันซึ่งอยู่ประถมปีที่ 3 และพี่สาวชื่อสุมิเอะอยู่ชั้นประถมปีที่ 6 ของโรงเรียนเทมมะถูกให้อพยพหลบภัยกลุ่มไปอยู่ในวัดที่อยู่ที่ตำบลยูกิด้วยกัน ถึงแม้ว่า แม่และพี่ชายชื่อโทชิยูคิจะเอามันและของอื่นๆมาเยี่ยมทุกอาทิตย์ แต่ในความรู้สึกของเด็กอย่างฉัน การที่ต้องอยู่ห่างจากแม่เป็นเรื่องที่ทรมานมาก พอแม่บอกว่า “ถ้าจะตายล่ะก็ ตายด้วยกันแม่ลูก” ฉันก็เลยบอกว่า “อยากกลับบ้านแล้ว อยากกลับบ้าน” ก็เลยได้กลับมาที่บ้านที่คามิเทมมะ ตอนนี้มานึกดู ถ้ายังคงอยู่ที่ศูนย์หลบภัยนั้นต่อไป แม่และพี่ชายก็คงมาเยี่ยม และทุกๆคนก็อาจจะรอดปลอดภัยก็เป็นได้
● สภาพของวันที่ 6 สิงหาคม
วันนั้นโรงเรียนหยุด ฉันและเพื่อนบ้านออกไปเล่นกันข้างนอกบ้าน
บนท้องฟ้ามองไปเห็นไอพ่นของเครื่องบิน B29 ซึ่งกำลังบินอยู่ ฉันก็เลยรีบยกมือสองข้างขึ้นมาปิดตาปิดหูโดยอัตโนมัติเพราะในสมัยนั้นเราได้รับการฝึกให้ปกป้องตาและหูถ้าคิดว่าจะมีระเบิดตกลงมา การปิดตาทำให้ไม่เห็นแสงที่สว่างจ้าขึ้นมา
โชคดีที่ในขณะนั้นฉันอยู่ตรงหน้าบ้านมีกำแพงเป็นเงาบังทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บและก็ไม่รู้สึกถึงความร้อน เพื่อนที่อยู่ด้วยกันก็เพียงแต่ได้รับบาดเจ็บที่ศรีษะเล็กน้อยเท่านั้น เราได้พากันคลานออกมาจากบ้านนั้นและฉันก็กลับบ้าน
พอกลับมาบ้านก็พบว่าแม่ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากระเบิดกำลังรอฉันอยู่ วันนั้นแม่ออกจากบ้านไปรับการปันส่วนข้าวและในระหว่างเดินทางกลับบ้านก็ถูกระเบิด แม่รีบเอาแค่กระเป๋าฉุกเฉินจากในบ้านออกมาและพาฉันหนี
เมื่อมองไปรอบๆก็เห็นบ้านพังทะลาย ราวสะพานก็ลุกไหม้เป็นไฟ เราข้ามสะพานนั้นและเดินมุ่งหน้าไปทางโคอิ ระหว่างที่หนีมีคนที่ถูกไฟไหม้จนดำมาขอความช่วยเหลือจากเราร้องว่า “ขอน้ำ หน่อย ขอน้ำหน่อย” แต่ตอนนั้น เราคิดแต่จะหนีอย่างเอาเป็นเอาตายท่าเดียวเลยทำอะไรให้ไม่ได้ ฉันยังนึกเสียใจมาจนกระทั่งทุกวันนี้ว่าอย่างน้อยก็น่าจะถามชื่อของคนคนนั้นเอาไว้
ในที่สุด เราก็มาถึงโรงเรียนประถมโคอิ พอรู้สึกตัวก็รู้ว่าตัวเองเท้าเปล่า ก็ให้นึกแปลกใจที่ว่าหนีมาท่ามกลางสิ่งปรักหักพังแต่ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
ที่โรงเรียน ในห้องเรียนและตามทางเดินมีคนบาดเจ็บเต็มไปหมดและที่นั่นแม่ก็ได้รับการปฐมพยาบาล แม่ถูกไฟไหม้รุนแรงที่แขน ขาและหลัง ที่หน้าก็ถูกไหม้เล็กน้อย แล้วหัวก็ยุบบุ๋มเป็นรูใหญ่ การปฐมพยาบาลก็แค่ใส่ยาให้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตอนนี้มานึกดูก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าได้รับการใส่ยาจริงหรือเปล่า
จากนั้นฉันกับแม่ก็มุ่งหน้าเดินทางไปยังตำบลโอโกอุจิซึ่งเป็นที่ๆถูกกำหนดให้เป็นสถานที่หลบภัย พอไปถึงที่นั่นเราก็ไปเก็บเอาหลังคาสังกะสีที่ตกอยู่มาคุ้มกันฝนเพราะมีฝนสีดำตกลงมาจากท้องฟ้า พอฝนหายได้สักครู่โทชิยูคิพี่ชายก็เดินทางมาถึง
ในตอนนั้น พี่ชายซึ่งกำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนอุตสาหกรรมมัสซุโมโตะชั้นปีที่ 2 ถูกเกณฑ์ให้ไปทำงานในโรงงานที่คานาวาจิมาซึ่งอยู่ที่ชายฝั่งอุจินะ ดูเหมือนว่าระหว่างทางไปโรงงานกับเพื่อน ถึงบริเวณสะพานมิยูกิระเบิดก็ถูกทิ้งลงมา พี่ชายเป็นห่วงครอบครัวจึงล้มเลิกการไปโรงงานและรีบวกกลับมาที่บ้านทันที ตรงบริเวณสำนักงานใหญ่บริษัทรถไฟฮิโรชิมานั้นมีไฟไหม้อยู่ทั้งสองฟากเ เดินผ่านไม่ได้ จึงมุ่งหน้าไปทางโรงเรียนมัธยมต้นชูโด ข้ามแม่น้ำโมโตยาสุและแม่น้ำโอตะโดยเรือ จากนั้นก็ข้ามสะพาน กว่าจะถึงตำบลคันนองก็ประมาณเที่ยง พี่ชายเล่าว่าในระหว่างการเดินทางมีเด็กนักเรียนอนุบาลถูกตึกทับได้ขอร้องให้พี่ชายช่วย แต่เนื่องจากพี่ชายเร่งรีบที่จะไปตรวจสอบความปลอดภัยของครอบครัวจึงไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ พี่ชายบอกว่าน่าสงสารจริงๆ
ได้ฟังจากพี่ชายเล่าว่า พอกลับถึงบ้านก็เห็นว่าไฟได้ลามเข้ามาถึงข้างบ้านแล้วก็เลยรีบดับไฟ จากนั้น เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่บ้านจึงมุ่งหน้ามาตามหาพวกฉันที่โอโกอุจิ และก็ได้มาเจอกันพร้อมหน้า
ส่วนพี่สาว ดูเหมือนว่าตอนเช้าของวันที่ 6 พี่สาวพูดกับแม่ว่า “ไม่อยากไปโรงเรียน” แต่แม่ซึ่งคิดอยากให้พี่สาวเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมสตรีระดับสูงยามานะกะไม่ยอมให้หยุดเรียน เช้าวันนั้นแม่ก็ได้ส่งพี่สาวไปโรงเรียนเหมือนอย่างที่ทำทุกวัน แต่พี่สาวก็ไม่ได้กลับมาอีก
● สภาพภายหลังวันที่ 7 เป็นต้นไป
วันรุ่งขึ้นพี่ชายได้ไปตามหาพี่สาวที่โรงเรียนเทมมะ พี่ชายได้ยินว่าวันที่ระเบิดถูกทิ้งลงมา พี่สาวกำลังทำความสะอาดห้องครูใหญ่อยู่ จึงได้เข้าไปค้นหาบริเวณนั้น แต่ตึกเรียนได้พังราบ ทุกอย่างได้กลายเป็นเถ้าถ่านไปหมด ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย
เราสามคนแม่ พี่ชายและฉันได้พักอยู่ที่สถานหลบภัยตำบลโอโกอุจินั้น 2-3 วัน แต่แม่เป็นห่วงพี่สาวจึงได้กลับมาที่บ้าน
แม่นั้นหลังจากที่กลับมาบ้านก็ล้มหมอนนอนเสื่อตลอด แผลของแม่นั้นได้รับการใส่ยาที่โรงเรียนโคอิแต่เพียงครั้งเดียว
โชคดีที่บ้านเราไม่ได้ถูกไฟไหม้หมด เพื่อนบ้านพากันขนเอาที่นอนของเราออกมาใช้กัน อาชื่อโอโมยะ สุเอะโกะเห็นเข้าก็โกรธและพูดว่า “ ทำไมให้ที่นอนคนอื่น แต่แม่ตัวเองไม่ห่มผ้าให้ ” เรายังเด็กพี่ชายเป็นแค่นักเรียนโรงเรียนอุตสาหกรรมปีที่ 2 ตัวฉันก็อยู่ชั้นประถมปีที่ 3 เทียบกับสมัยนี้ก็อายุเท่ากับเด็กนักเรียนมัธยมต้นและประถม เด็กๆอย่างเราทำอะไรไม่ได้เลย หลังจากที่อามา อาก็พยาบาลแม่และดูแลพวกฉัน สามีอาซึ่งเป็นน้องชายพ่อชื่อชิเกะโอะซึ่งถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารที่ยามากุจิ แต่ด้วยเหตุผล ที่ภรรยาและลูกสาวโนบุเอะอยู่ที่ฮิโรชิมาอีกสองวันต่อมาแกจึงกลับมาฮิโรชิมา ถ้าไม่มีอาสาวและอา ผู้ชายฉันคิดว่าเฉพาะพวกเราเด็กๆคงจะแย่ทีเดียว
น่าดีใจที่หน้าแม่ที่ถูกไฟไหม้นั้นหายเร็ว แต่แผลไหม้ที่หลังของแม่นั้นทำยังไงก็ไม่หาย พอแผลที่หลังแห้งคิดว่าจะหาย อยู่ดีๆผิวหนังก็ลอกออกมา ด้านในของผิวหนังนั้นมีหนอนเต็มไปหมด ถ้าเผลอหนอนที่หลังก็จะเพิ่มและติดแน่นจนแกะออกไม่ได้ แม่นอนอยู่ในมุ้ง ฉันและพี่ชายนอนอยู่ข้างๆ ฉันรู้สึกว่ากลิ่นเหม็นของหนอนนั้นเหม็นมาก
ถึงแม้แม่จะได้รับบาดเจ็บมากถึงขนาดนั้นแต่แม่ก็ไม่เคยพูดสักคำว่า “เจ็บ” หรือ “คัน” น้ำก็ไม่อยากได้ แต่แม่จะบอกว่า “อยากกินลูกท้อ อยากกินลูกท้อ” อาจึงไปซื้อมาให้จากอิโนงุจิ ตอนนี้มานึกดู แม่คงจะคอแห้ง
แม่เสียชีวิตในตอนรุ่งสางของวันที่ 4 กันยายน พวกฉันเพิ่งเริ่มจะรับรู้ว่าแม่ตายแล้วก็ตอนที่อา มาบอกว่า “อ้า ..นี่พวกเจ้า แม่ตายแล้วนะ ” ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้งฉันและพี่ชายไม่ได้คิดอะไรเลย คิดๆดูแม่มีชีวิตอยู่มาได้ตั้งหนึ่งเดือนทั้งๆที่หัวแบะและได้รับบาดเจ็บอย่างหนักขนาดนั้น ทหารจะหามคนบาดเจ็บใส่รถบรรทุกไปยังที่หลบภัยนอกเขตเมือง แต่แม่นั้นจะไม่ยอมห่างจากบ้านอย่างเด็ดขาดจนกว่าจะได้รับข่าวคราวเกี่ยวกับพี่สาว มีคนที่บาดเจ็บคล้ายคลึงกับแม่ และได้รับการรักษาที่เขตพยาบาลนอกเมืองจนแข็งแรงกลับมาก็มี ฉันคิดว่าแม่มีชีวิตอยู่ได้เพราะเป็นห่วงพี่สาวที่ยังไม่กลับมา และด้วยความอยากที่จะเจอพี่สาวนั่นเอง
ครอบครัวได้ทำการเผาศพของแม่ที่ศาลาโควเซอิทันทีในวันที่แม่ตาย แต่ฉันไม่ได้รู้ศึกเศร้าโศกเสียใจ น้ำตาก็ไม่ไหล ฉันคิดว่าความรู้สึกฉันคงจะด้านชาไปแล้ว ในวันนั้นฝนตกทำให้ศพของแม่เผายาก
ในตัวเมือง ตึกและอาคารพังทลายและถูกเผากลายเป็นที่ราบโล่งเตียน จากที่บ้านเราสามารถมองเห็นไปได้ไกลถึงสถานีฮิโรชิมาและนิจิมา มีซากศพคนตายอยู่ทุกหน ทุกแห่ง ศพที่อยู่ ในแม่น้ำนั้นทหารจะดึงขึ้นมาเผา มีศพที่อยู่ในสภาพนั้นนานเป็นเดือนก็มี พวกฉันเห็นสภาพ เหล่านั้นจนชินเดินผ่านไปมาได้เป็นปกติ เราไม่รู้ว่าระเบิดปรมาณูคืออะไร และเพราะไม่มีของจะกิน เราก็กินหัวมันที่ปลูกในที่ดินแถวนั้น กินข้าวที่ถูกฝังอยู่ในดิน และกินของกินที่ถูกอาบรังสีกันอย่างหน้าตาเฉย
●การดำเนินชีวิตหลังจากถูกรังสีปรมาณู
หลังจากที่แม่ตาย พวกเราก็ไปอยู่กับญาติที่หมู่บ้านมิโดริอิ ญาติให้เราอาศัยอยู่ในโรงนา ปู่กับ ย่านั้นเสียชีวิตไปก่อนล่วงหน้าแล้ว ตอนที่ระเบิดปรมาณูถูกทิ้งลงมานั้นปู่โอโมยะ โทเมคิจิและย่ามาซึโนะอยู่ในห้องนั่งเล่น จึงไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่พอมาถึงหมู่บ้านมิโดริอิปู่ซึ่งเคยแข็งแรงนั้น ร่างกายก็ทรุดลงและเสียชีวิตลงหลังจากที่แม่เสียชีวิตได้ 5 วัน ส่วนลุงที่ชื่อโชโซะที่อาศัยอยู่กับปู่ย่าที่ตำบลฮิโรเซะโมโตะ คาดว่าตอนที่ระเบิดตกนั้นน่าจะอยู่บริเวณหน้าประตูบ้าน แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ข่าวคราวอีกเลย
ที่มิโดริอิ การดำเนินชีวิตเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเป็นมาทำให้มีเรื่องไม่ราบรื่นเกิดขึ้นมากมาย ฉันไปโรงเรียนที่หมู่บ้านมิโดริอิอยู่ปีนึงและหลังจากนั้นก็กลับมาที่ฮิโรเซะ ทุกคนร่วมแรงกันปรับพื้นที่ๆบ้านเคยตั้งอยู่และก็สร้างบ้านแบบง่ายๆอยู่กัน อาสองสามีภรรยาก็ทำหน้าที่แทนพ่อแม่รับเลี้ยงพี่ชายและฉันเสมือนลูกแท้ๆฉันจึงไม่ได้มีความรู้สึกเหงาแต่อย่างใด
แต่ยิ่งโตขึ้น ฉันก็ยิ่งคิดถึงแม่มากขึ้น เวลาที่เห็นลูกพี่ลูกน้องที่ถูกเลี้ยงมาเหมือนๆกันเรียนจบชั้นประถมและจะไปเรียนต่อเป็นครูการเรือนก็รู้สึกอิจฉาและเหงา ฉันอาศัยที่บ้านของอาจนกระทั่งแต่งงาน ที่บ้านอานั้นมีกิจการทำเครื่องเรือนและฉันก็ได้ทำงานทำบัญชีอยู่ที่นั่น
● แต่งงานและป่วย
สมัยก่อน คนที่ถูกรังสีปรมาณูส่วนใหญ่จะปกปิดไว้เป็นความลับ โดยเฉพาะผู้หญิงเพราะว่าส่งผลเกี่ยวเนื่องไปถึงเรื่องการแต่งงาน คนที่ไม่ได้ยื่นขอบัตรสุขภาพสำหรับผู้ที่ถูกรังสีปรมาณูก็มีมาก ฉันเองก็ไม่ได้ยื่นขอทันทีตั้งแต่แรกมาขอเอาที่หลัง การแต่งงานของฉันนั้นฉันคิดมาโดยตลอดว่าอาสองสามี ภรรยาคงเป็นคนตัดสินใจเลือกคนที่จะแต่งงานให้ มีการดูตัวกันและก็แต่งงานกัน โชคดีที่คนที่ฉันแต่งงานด้วยไม่ได้คิดติดใจกับความเป็นผู้ถูกรังสีปรมาณูของฉัน
หลังจากแต่งงานฉันก็กังวลเกี่ยวกับลูกที่จะเกิดมา ฉันป่วยเป็นมะเร็งต่อมไทรอยด์ พี่ชายของฉันและลูกพี่ลูกน้องก็เป็นมะเร็ง ลูกของฉันที่เกิดมาก็ป่วยเป็นเนื้องอกเกี่ยวกับประสาทการรับฟัง นี่ก็คงเป็นผลจากรังสีปรมาณูที่ทำให้เจ็บป่วย
●เพื่อสันติภาพ
ฉันมักจะเล่าประสบการณ์ของฉันให้พวกเด็กๆฟัง ไปพิพิธภัณฑ์ด้วยกันแล้วก็เล่าถึงเหตุการณ์ในวันที่ระเบิดปรมาณูถูกทิ้งลงมาให้เขาฟัง
สมัยก่อนการดำเนินชีวิตประจำวันนั้นยุ่งยากไม่ค่อยได้ไปไหว้สุสานประจำครอบครัวกันเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวนี้ได้ไปไหว้สุสานและพูดคุยกับคนอื่นก่อนกลับบ้านบ่อยๆ ถ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ฉันก็คงจะได้ตอบแทนบุญคุณแม่ เวลาที่เห็นคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับแม่ ฉันจึงคิดอยากจะทำอะไรให้พวกเขาในส่วนที่ฉันทำตอบแทนบุญคุณให้แม่ไม่ได้
นอกจากนี้ ฉันก็ยังสำนึกในบุญคุณของผู้คนจำนวนมากที่ได้เสียสละชีวิต ทำให้ฉันมีชีวิตอยู่มาได้อย่างแข็งแรงจนกระทั่งทุกวันนี้ และเมื่อนึกถึงแม่ที่ตายไป ฉันก็คิดว่าฉันอยากมีสุขภาพที่แข็งแรงและมีชีวิตที่ยืนยาวเพื่อลูกๆของฉัน
|