国立広島・長崎原爆死没者追悼平和祈念館 平和情報ネットワーク GLOBAL NETWORK JapaneaseEnglish
 
Select a language / ภาษาไทย (Thai・タイ語) / Memoirs(อ่านบันทึกประสบการณ์)
 
ความปรารถนาในสันติภาพสู่คนรุ่นหลัง 
มาเอะโดอิ โทกิโอะ (MAEDOI Tokio ) 
เพศ ชาย  อายุตอนที่ถูกระเบิด 12 
ปีที่เขียน 2009 
สถานที่ ณ ขณะเวลาที่ถูกระเบิด ฮิโรชิมา 
สถานที่เก็บ อาคารอนุสรณ์สันติภาพแห่งจังหวัดฮิโรชิมา เพื่อระลึกและไว้อาลัยแด่ผู้เสียชีวิต จากระเบิดปรมาณู 

●ชีวิตความเป็นอยู่ก่อนโดนทิ้งระเบิด
ในขณะนั้นอยู่ในสมัยปีโชวะ20 ผมได้อาศัยอยู่กับฮิซาโยะซึ่งเป็นมารดากับพี่สาวอีก 2 คนที่ คุสึโนะกิโจ บล็อกที่ 1 น่ะครับ ถึงแม้ว่าผมจะได้ชื่อว่าเป็นนักเรียนของโรงเรียนประถมศึกษามิซาซะแผนกมัธยมปลายปีที่ 1(ระบบการศึกษาของญี่ปุ่นระหว่างปี ค.ศ. 1941-1947) นะครับ แต่ในแต่ละวันก็จะต้องถูกระดมพลให้ไปทำงานตามโรงงานต่างๆ ทำให้ไม่มีการเรียนการสอนในโรงเรียนเลยครับ ผมกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนทั้ง 40 คนได้ถูกระดมพลให้ไปทำงานที่ บริษัทนิสสันมอเตอร์ซึ่งตั้งอยู่ที่ มิซาซะฮอนมาจิ บล็อกที่ 3 สำหรับพี่สาวทั้ง 2 คนของผมนั้น พี่คาสึเอะก็ทำงานที่ที่ทำการไปรษณีย์และพี่จึรุเอะก็ทำงานที่สาขาย่อยของโรงงานผลิตเครื่องนุ่มห่ม 

●วันที่ 6 สิงหาคม
เช้าของวันนั้น ผมได้ประจำอยู่ที่บริษัทนิสสันมอเตอร์ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผมถูกระดมพลไป เพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ถูกระดมพลไปด้วยนั้นต่างก็ถูกแยกให้ไปทำงานอยู่ในโรงงาน ผมทำงานเบ็ดเตล็ดอยู่ที่ห้องธุรการโดยจะต้องขนย้ายอะไหล่เมื่อได้รับคำสั่งจากโรงงาน เป็นต้น เนื่องจากในวันนั้นก็ได้รับการติดต่อให้นำตะปูตัวเล็กซึ่งเป็นอะไหล่จากโรงงานมา ผมจึงถือตะปูเล็กจำนวน 2 กล่องออกจากห้องธุรการและเดินมุ่งหน้าไปยังโรงงานที่อยู่ลึกเข้าไปของอาคาร  จู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่า ตัวเองถูกปกคลุมด้วยแสงสีน้ำเงินปนขาวซึ่งเหมือนเปลวไฟจากเตาแก๊สพร้อมกับ ทัศนวิสัยที่ถูกทำให้ห่างไกลออกไป และร่างการก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ถึงแม้ว่าในขณะนั้น สัญญาณเตือนภัยให้เตรียมพร้อมรับมือจะอยู่ระหว่างการยกเลิกอยู่จึงไม่อยู่ในสถานะพร้อมจะรับมือได้ แต่ผมก็คิดว่า จะต้องถูกทิ้งระเบิดอย่างฉับพลันแล้วแน่ๆเลยน่ะครับ ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ผมได้คิดว่า “สงสัยจะต้องตายแล้วสินะ”

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเวลาได้ผ่านไปสักกี่นาทีแล้ว แต่ผมก็ได้รู้สึกว่า สติของตัวเองได้กลับคืนมาและได้เอนนอนอยู่บนพื้นดิน หลังจากที่เวลาผ่านไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทัศนวิสัยก็เริ่มจะเปิด เหมือนกับตอนที่หมอกค่อยๆจางหายไป ทำให้ผมคิดว่า“ยังมีชีวิตอยู่” น่ะครับ

รู้สึกว่าผมจะตกลงไปบนถังแก๊สที่ตกอยู่ใกล้กัน และผมได้รับบาดแผลถลอกที่มือด้วยน่ะครับ พอมานึกดูตอนนี้ ลักษณะของผมในขณะที่ถูกระเบิดนั้น เนื่องจากว่าผมได้ตัดผมทรงเกรียนและได้สวมกางเกงขาสั้นกับเสื้อเชิ้ตแขนสั้นคอกลมเท่านั้น ดังนั้นบริเวณที่เปิดโล่งทั้งหมดน่าจะต้องเกิดเป็นแผลไฟไหม้อย่างแน่นอน แต่ในเวลานั้น ยังไม่สามารถที่จะรับรู้สภาพการณ์ของตัวเองได้ในทันที แม้แต่ความเจ็บปวดก็ยังไม่รู้สึกด้วยซ้ำไปน่ะครับหลังจากนั้น เนื่องจากผมไม่เห็นบรรดาเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ถูกระดมพลไปด้วยเลยทำให้เกิดความรู้สึกเป็นห่วงครอบครัวขึ้นมา จึงได้ตัดสินใจกลับบ้านไปน่ะครับ เมื่อเริ่มเดิน ก็ได้พบกับประตูขนาดใหญ่ของของโรงงานที่ล้มอยู่โดยที่มีคนประมาณ 3 คนถูกทับอยู่ข้างใต้นั้นด้วย ผมกับคนที่อยู่บริเวณโดยรอบนั้นได้ช่วยกันดึงพวกเขาออกมาจากตรงนั้นได้สำเร็จ หลังจากนั้นทุกคนก็พูดว่า “หนีกันเถอะ หนีกันเถอะ” แล้วก็ออกไปด้านนอกของโรงงาน

●สภาพหลังถูกระเบิด
เมืองทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยอาคารหรือรั้วที่พังทลายซึ่งอยู่ในสภาพการณ์ที่แม้แต่ถนนก็มองไม่เห็นเลยน่ะครับ  มีเปลวไฟขนาดเล็กที่กำลังคละคลุ้งไปด้วยควันอยู่ทุกหนทุกแห่ง ผู้คนที่เดินอยู่ตามถนนทั้งหมดก็ได้รับบาดแผลไฟไหม้และยังพบเห็นคนที่อุ้มลูกหนีอยู่ด้วยน่ะครับ เมื่อเดินอยู่บนซากปรักหักพังหรือท่อนไม้ที่ถูกทับซ้อนกันอยู่ที่เกิดจากการพังทลายแล้ว ก็ได้มีตะปูที่โผล่อออกมาเสียบทะลุผ่านใต้รองเท้าเข้าไปที่เท้าด้วย แต่เนื่องจากว่าอยู่ในอารมณ์ที่ไม่คิดชีวิตในเวลานั้นจึงไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย ถึงแม้ว่าจะได้ยินเสียงครวญครางอย่างแผ่วเบาว่า “ช่วยด้วย” ที่ดังมาจากข้างใต้ซากปรักหักพังตรงบริเวณปลายเท้าอยู่ แต่ผมก็ไม่สามารถที่จะสนองตอบต่อเสียงที่ร้องขอความช่วยเหลือนั้นได้เลย เพราะตัวผมเองก็ตกอยู่ในสภาพที่บ้าคลั่งจากภายใต้สภาพการณ์ที่เหมือนกับนรก จึงตัดสินใจที่จะมุ่งหน้าไปที่บ้านต่อไป
เมื่อไปถึงบ้าน บ้านได้พังทลายลงไปทั้งหมดแล้ว ซึ่งที่นั่นควรจะมีมารดากับพี่สาวอยู่ แต่กลับไม่พบตัวเลย ผมซึ่งมีอายุเพียง 12 ปีในขณะนั้น จู่ๆก็ตกอยู่ในความรู้สึกที่เป็นกังวลขึ้นมาว่า “จากนี้ไปผมจะต้องอยู่คนเดียวแล้ว” “หมดหนทางแล้ว” และได้แต่ยืนดูบ้านของตัวเองที่พังทลายลงไปอยู่สักพักหนึ่งอย่างงงงวย ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงที่พูดกับตนว่า “ไฟกำลังจะมาถึงแล้ว รีบหนีไป” ซึ่งดังมาจากบริเวณโดยรอบจนในที่สุดก็ช่วยทำให้ผมตัดสินใจที่จะหนีได้นั่นเอง เมื่อผมกำลังเดินมุ่งหน้าไปยังสถานที่หลบภัยที่อยู่ชานเมืองซึ่งได้เคยตกลงกันไว้ล่วงหน้าภายในครอบครัว ก็ได้พบกับนะกะมุระคุงที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ถูกระดมพลไปยังโรงงานเดียวกันด้วย ซึ่งเขาอยู่ระว่างการอพยพหนีภัยไปที่บ้านของญาติที่อยู่มิตะกิโจ และเขาก็ได้ชักชวนผม โดยพูดกับผมว่า “ไปด้วยกันสิ”

เนื่องจากมิตะกิโจนั้น ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่สูงจึงดูเหมือนกับว่าจะได้รับความเสียหายไม่มากนัก มีเพียงกระจกของบ้านที่แตกอยู่เท่านั้น คุณป้าที่เป็นญาติพูดว่า “ดีแล้วล่ะที่ปลอดภัย ดีจริงๆเลย” แล้วก็นำข้าวปั้นมาให้กิน แต่ก็กินไม่ลงเพราะว่าไม่มีความรู้สึกอยากอาหารเลย นับจากนั้นเป็นต้นมา อาจเป็นเพราะรู้สึกผ่อนคลายลงก็ได้ ทำให้เริ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ร่างกาย และรู้ว่ามีสิ่งที่ไม่ปกติเกิดขึ้นกับตัวเองแล้ว บริเวณที่ไม่ได้ถูกปกคลุมด้วยเสื้อผ้าทั้งหมดกลายเป็นแผลไฟไหม้และเกิดเป็นตุ่มพองใสๆขนาดใหญ่ขึ้นบนผิวหนังทั่วทั้งร่างกายซึ่งมันมีขนาดที่ใหญ่โตถึงกับว่าสามารถขยับขึ้นลงเหมือนคลื่นได้เลยน่ะครับ เนื่องจากไม่ได้สวมหมวกเลยทำให้เกิดเป็นแผลไฟไหม้ที่หัวและรู้สึกเจ็บจี๊ดๆไปด้วย ว่ากันว่าหาก 1 ใน 3 ของร่างกายเกิดบาดแผลไฟไหม้ก็จะทำให้เสียชีวิต แต่ของผมนั้นคิดว่าน่าจะมากกว่านั้นนะครับ
น่าจะก่อนเที่ยงนะครับที่ฝนเริ่มตก มันทำให้รู้สึกสบายดีกับร่างกายที่ผ่านความร้อนมาแล้วจริงๆ ผมจึงตากฝนอยู่อย่างนั้นสักพักหนึ่ง เมื่อมองดูที่น้ำฝนที่กำลังไหลอยู่ ก็พบว่ามันส่องแสงเปล่งประกายเหมือนกับน้ำมันอยู่ ซึ่งในเวลานั้น ผมไม่เข้าใจเลยว่ามันคืออะไร แต่มานึกดูตอนนี้แล้ว ที่แท้มันก็คือ “ฝนสีดำ” ที่ปนเปื้อนกัมมันตรังสีอยู่นั่นเอง

หลังจากนั้น ผมจะต้องไปที่โรงเรียนที่ยะสึมุระ(ปัจจุบันคือเมืองฮิโรชิมา เขตอะซะมินามิ)ซึ่งเป็นสถานที่หลบภัย จึงไปกล่าวอำลานะกะมุระคุงและก็ได้เริ่มออกเดินทางใหม่อีกครั้งหนึ่ง แต่เนื่องจากรู้สึกร้อนที่ร่างกายมากจนทนไม่ไหว ผมจึงไปนำแตงกวาที่อยู่ในสวนที่อยู่ระหว่างทางมาบีบเพื่อเอาน้ำที่ได้มาทาบาดแผลไฟไหม้แล้วก็เดินต่อไป

เมื่อไปถึงที่โรงเรียนก็พบว่าที่นั่นได้มีการจัดตั้งสถานที่ดูแลรักษาพยาบาลอยู่แล้ว และมีผู้บาดเจ็บจำนวนมากที่เอนนอนอยู่เหมือนกับปลาทูน่าที่ถูกตั้งเรียงอยู่บนพื้นดิน และที่นั่นก็เป็นที่แรกที่ผมได้รับการตรวจ ซึ่งเป็นเพียงการรักษาง่ายๆด้วยการนำเอาน้ำมันสำหรับบริโภคมาทาที่บริเวณแผลเท่านั้นเอง แต่เนื่องจากว่ามีเหยื่อหรือผู้เคราะห์ร้ายจำนวนมากจนแทบจะล้น จึงมีการจัดสรรสถานที่หลบภัยขึ้นมาใหม่ เมื่อมีการเคลื่อนย้ายก็เป็นเหตุให้ได้พบกับพี่สาวที่ชื่อจึรุเอะได้โดยบังเอิญ แต่ดูเหมือนกับว่า พี่สาวจะได้รับบาดเจ็บที่ส่วนหัวจากการโดนระเบิดที่บ้าน จึงมีผ้าพันแผลถูกพันอยู่ด้วย ในที่สุดผมก็ได้พบกับญาติแล้ว ทำให้ผมรู้สึกโล่งอกและคิดว่า “ที่แท้ ผมก็ไม่ได้อยู่คนเดียวนี่นา” และได้รู้จากพี่สาวอีกด้วยว่า มารดาก็ปลอดภัยจากนั้นผมจึงไปหามารดา มารดาที่โดนระเบิดในขณะที่อยู่ที่เฉลียงไม้กระดานของบ้านนั้น มีบาดแผลที่เหมือนถูกคว้านตรงบริเวณขากับแผลไฟไหม้บนใบหน้า หลังจากนั้นก็ยังได้พบกับพี่คาสึเอะ ซึ่งเป็นพี่สาวที่โดนระเบิดในระหว่างปฏิบัติงานอยู่ที่ที่ทำการไปรษณีย์ได้อีกด้วย 

พวกเราอยู่ที่ยะสึมุระจนกระทั่งสิ้นสุดสงคราม ยังจำได้เลยว่า ตอนนั้นเหมือนถูกห่อหุ้มไปด้วยความรู้สึกที่โล่งใจว่า “ไม่ต้องไปสงครามอีกแล้ว” พวกเราได้พักอยู่ที่ยะสึมุระประมาณ 2 สัปดาห์ จากนั้นก็ได้ย้ายที่อยู่ไปที่บ้านของญาติที่ตั้งอยู่ที่ทะกะดะกุนโกโนะมุระ (ปัจจุบันคือเมืองอะซะทะกะดะ) ซึ่งเป็นบ้านเกิดของบิดา 
สภาพร่างกายของผมนั้น มีแต่จะเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ ซึ่งดูเหมือนกับว่า คนรอบตัวเขาพูดถึงผมว่า “คงจะอยู่ได้อีกไม่นาน” ด้วยน่ะครับ เนื่องจากที่โกโนะมุระนั้น มีหมอมาตรวจให้ในรูปแบบของทำงานนอกสถานที่อยู่ ผมจึงถูกขนย้ายด้วยรถลากเพื่อไปรับการตรวจรักษาและนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้รับการทายาสีขาวที่มีไว้สำหรับรักษาบาดแผลไฟไหม้โดยเฉพาะ ซึ่งในที่สุดผมก็ได้รับการรักษาที่สมกับเป็นการรักษาที่แท้จริงได้แล้ว แต่การรักษานั้นทำได้ยากลำบาก เนื่องจากบาดแผลไฟไหม้ที่ค่อนข้างจะหนัก จะถอดเสื้อผ้าก็ไม่ได้ จึงจำเป็นต้องใช้กรรไกตัดเอาเท่านั้น และผมยังมีไข้ขึ้นสูงมาก ทำให้ไปห้องน้ำลำบาก จึงต้องมีคนช่วยพยุงเพื่อทำธุระส่วนตัว มารดาต้องกดบาดแผลของตัวเอง เพื่อเฝ้าไข้ผมซึ่งเป็นลูกคนสุดท้องและเป็นลูกชายเพียงคนเดียวให้ ผมยังจำได้ด้วยว่า มารดายังใช้พัดช่วยพัดให้ตลอดทั้งคืนโดยไม่ยอมหลับนอนและพูดว่า “ร้อนใช่มั้ย ร้อนใช่มั้ย” ในช่วงที่บาดแผลไฟไหม้ใกล้จะหายก็มีเลือดกำเดาออกมาบ่อยมาก ซึ่งยังเคยมีครั้งหนึ่งที่เลือดกำเดาไหลไม่หยุด ทำให้คุณหมอถึงกับต้องใช้วิธีฉีดยาเพื่อห้ามเลือดด้วยน่ะครับ

สุขภาพของผมนั้นค่อยๆดีขึ้นเรื่อย ๆ ผมจึงเริ่มไปโรงเรียนท้องถิ่นได้ ที่โรงเรียนแห่งนั้นก็เช่นเดียวกันที่มีนักเรียนประมาณ 3 คนที่ย้ายมาจากโรงเรียนในตัวเมืองฮิโรชิมาหลังโดนระเบิด

ช่วงประมาณเดือนกันยายน ผมมีความรู้สึกอยากรู้เรื่องสภาพของฮิโรชิมามาก ผมจึงนั่งรถเมล์เข้าไปในตัวเมืองฮิโรชิมาคนเดียว ในละแวกที่ใกล้เคียงกับร่องรอยที่น่าจะเป็นบ้านของผมนั้น มีเพื่อนบ้านสร้างกระท่อมแบบง่ายๆ ดำรงชีวิตกันอยู่และผมก็ยังมีโอกาสพูดคุยกับพวกเขาด้วย นอกจากนั้นก็ยังเห็นมีกระท่อมที่พอจะใช้หลบฝนหรือน้ำค้างได้ตั้งอยู่ทุกหนทุกแห่งด้วย เมื่อผมลองไปดูที่บริษัทนิสสันมอเตอร์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผมโดนระเบิด ก็ได้พบกับผู้จัดการโรงงานเข้าโดยบังเอิญ ซึ่งเขาทักผมว่า “เป็นยังไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า” ทำให้ผมได้มีโอกาสสอบถามเรื่องราวตอนที่เกิดระเบิดขึ้นได้ เมื่อได้รู้ว่าหลังโดนระเบิด มีเจ้าหน้าที่ธุรการหญิงคนหนึ่งที่กำลังทำงานอยู่ในห้องธุรการนั้น ถึงกับทำให้ลูกตากระเด็นออกจากเบ้าตาด้วย ทำให้ผมถึงกับรู้สึกหวาดกลัวอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากก่อนที่จะโดนระเบิดนั้น ผมเองก็อยู่ในห้องธุรการนั้นด้วยเหมือนกัน สำหรับเพื่อนร่วมชั้นเรียน 40 คนที่ถูกระดมพลให้ไปทำงานที่โรงงานเดียวกันนั้น หลังจากนั้น ผมก็ไม่มีโอกาสได้พบกันอีก แม้กระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่รู้ความเป็นไปของพวกเขาได้เลย

●การสร้างชีวิตความเป็นอยู่ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
เวลาผ่านไป 2-3 ปีหลังจากนั้น เนื่องจากว่าในชนบทไม่มีแหล่งงานเลย จึงได้ย้ายฐานที่ตั้งกลับไปยังในตัวเมืองฮิโรชิมาอีกครั้งหนึ่ง เป็นเพราะว่าไม่มีประวัติการศึกษา ทำให้ต้องลำบากมากจริงๆจนกว่าจะได้งานทำ แต่ก็เพื่อมีกินต่อไป ผมจึงยอมทำทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการส่งหนังสือพิมพ์หรือทำงานในสถานที่ก่อสร้างบ้าง
เมื่อผมอายุ 23 ปี ผมตกลงที่จะแต่งงานและผมก็มีความคิดว่า อยากจะให้ภรรยาได้รับรู้เรื่องราวของผมทั้งหมดเอาไว้ ผมจึงบอกเรื่องที่ผมถูกระเบิดปรมาณูให้ฟัง ภรรยายินยอมและเห็นชอบที่จะแต่งงานกับผมโดยรับรู้และเข้าใจ ในเวลานั้น ถึงแม้ว่าจะมีการเผยแพร่ข่าวสารที่เกี่ยวกับผลสืบเนื่องของผู้ที่ถูกระเบิดปรมาณูกันอย่างเต็มที่ แต่ผมก็พยายามมุ่งหน้าทำงานต่อไปโดยที่ไม่ให้ความสนใจกับมันเลย ลูกชายคนโตของผมเกิดเมื่อผมอายุ 27 ปี และในปีเดียวกัน พี่ชายของภรรยาก็แนะนำให้ไปทำงานที่บริษัทอุตสาหกรรมโตโย(ปัจจุบันคือมาสด้า) ซึ่งก่อนหน้านั้นก็มีการเปลี่ยนงานอยู่บ่อยครั้ง พี่ชายของภรรยาก็ช่วยให้กำลังใจผมด้วยการบอกให้ผมอดทนสู้ต่อไป ทำให้ผมได้ตัดสินใจที่จะสู้ต่อไปเพื่อลูกและมุ่งหน้าทำงานใหม่อีกครั้งหนึ่ง

●ความกังวลในด้านของสุขภาพ
ในขณะที่กำลังพูดคุยอยู่กับเพื่อนร่วมงานที่ทำงานรอบดึกอยู่ก็พบว่า มีคนที่ถูกระเบิดที่สะพานไอโออิอยู่ในนี้ด้วย ซึ่งเกือบจะอยู่ใต้ศูนย์กลางที่เกิดระเบิดนั้นพอดี ทำให้พอได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกตกใจน่ะครับ และได้มีคำร้องขอมาจาก ABCC (ศูนย์วิจัยขององค์กรคณะกรรมาธิการผู้ประสบภัยจากระเบิดปรมาณู)โดยมีเป้าหมายในการสำรวจร่างกายมาที่เขาด้วย ในฐานะของผู้ที่ถูกระเบิดปรมาณูเหมือนกัน ต่างคนต่างก็เลยได้พูดคุยถึงสิ่งที่สงสัยกัน แต่สภาพร่างกายของเขากลับทรุดลงและต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล ถึงแม้ว่าเขาจะได้กลับเข้ามาทำงานอีกครั้งหนึ่งได้ แต่ในที่สุดเขาก็เสียชีวิตลงด้วยอายุ 50 ปี ผมเองก็ต้องแบกความกังวลที่มีต่อสุขภาพตลอดเวลาอยู่แล้ว ผมจึงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ที่สามารถมีชีวิตอยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ได้ หลังจากนั้นผมก็ได้ทำงานจนกระทั่งอายุ 55 ปี แล้วก็ลาออก

●ความปรารถนาในสันติภาพ
เหตุผลที่ผมตัดสินใจเล่าประสบการณ์ตอนที่ถูกระเบิดปรมาณูในครั้งนี้ก็คือ ยิ่งมีอายุมากขึ้นก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความถดถอยของแรงกาย ทำให้เกิดความรู้สึกที่แรงกล้าที่อยากจะถ่ายทอดประสบการณ์ของผมให้กับคนรุ่นหลังในเวลานี้เอาไว้นั่นเอง ผมเพียงแต่อยากจะให้คนที่ยังเยาว์วัยหรือยังเป็นหนุ่มสาวอยู่ในสมัยนี้ได้เข้าอกเข้าใจถึงความลำบากลำบนของคนยุคก่อนว่า ถึงแม้ว่าคนสมัยนี้จะไม่ต้องถูกบังคับให้ต้องไปอยู่ในสนามรบเหมือนในอดีตและยังสามารถที่จะประพฤติตนตามความคิดโดยไม่ยอมอยู่ใต้กฎเกณฑ์ใดๆของสังคมก็ได้ แต่สิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในยุคนี้ ก็ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วจริงๆเมื่อ 64 ปีที่แล้ว และความรู้สึกของผู้คนที่ต้องจบชีวิตลงด้วยวัยเยาว์เหล่านี้ได้บ้าง 

และก็อยากจะให้คนยุคนี้ช่วยกันผลักดันและเคลื่อนไหวเพื่อสันติภาพไปสู่การหมดสิ้นอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเกิดเหตุการณ์เหมือนกับที่ผมเคยประสบมาแล้วอีกครั้งหนึ่ง ไม่มีใครที่เจอแบบนี้แล้วจะรู้สึกสนุกหรอกนะครับ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า  จะมีโลกที่หมดสิ้นอาวุธนิวเคลียร์ได้ในระหว่างที่ผมยังมีชีวิตอยู่นะครับ

 
 

ห้ามนำรูปภาพหรือข้อความที่มีอยู่ในโฮมเพจนี้ไปลงหรือใช้ในที่อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
HOMEに戻る Top of page
Copyright(c) Hiroshima National Peace Memorial Hall for the Atomic Bomb Victims
Copyright(c) Nagasaki National Peace Memorial Hall for the Atomic Bomb Victims
All rights reserved. Unauthorized reproduction of photographs or articles on this website is strictly prohibited.
初めての方へ個人情報保護方針
日本語 英語 ハングル語 中国語 その他の言語