●ความเป็นอยู่ก่อนโดนระเบิด
ตอนนั้นฉันอายุ 17 ปี อาศัยอยู่กับมารดาและพี่สาวรวมเป็น 3 คนที่เมืองฮิโรชิมา มิซาซะฮอนมาจิ บล็อกที่ 3 (ปัจจุบันคือ เขตตะวันตก) ซึ่งบิดาเสียไปแล้ว และเคยมีพี่ชาย 3 คนอยู่ด้วยกัน แต่พี่ชายคนโตแต่งงานและออกจากบ้านไปแล้ว พี่ชายคนรองและคนที่ 3 นั้นถูกระดมพลไปอยู่ที่จังหวัดยามางุจิ
ตอนนั้นฉันทำงานอยู่ฝ่ายงานธุรการของสถานีโทรทัศน์กลางฮิโรชิมา สถานีโทรทัศน์นั้นตั้งอยู่ที่คามินะงะเละโจ(ปัจจุบันคือเขตนะกะโนโบริโจ) บริเวณโดยรอบนั้นเคยเป็นบ้านเรือนแต่ถูกเวนคืนและทำลายเพื่อใช้เป็นพื้นที่สำหรับอพยพหลบภัยโดยมีลักษณะเป็นพื้นที่โล่งๆอยู่ จำได้ว่าเนื่องจากที่สถานีโทรทัศน์นั้นมีการนำเสนอข่าวที่เกี่ยวกับการทหารค่อนข้างมาก จึงมีการเสริมกระจกให้แข็งแรงเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีทางอากาศอยู่ด้วยน่ะค่ะ
●วันที่ 6 สิงหาคม
เช้าของวันนั้น เนื่องจากมีสัญญาณเตือนภัยให้เตรียมพร้อมรับมือดังอยู่ ทำให้ไม่สามารถออกจากบ้านได้ เป็นเหตุให้ต้องไปทำงานสาย กว่าสัญญาณเตือนภัยจะถูกยกเลิกและไปถึงที่สถานีโทรทัศน์นั้น คิดว่าน่าจะประมาณ 8 โมงแล้วค่ะ ฉันก็ทำตัวเหมือนปกติโดยได้แบ่งงานกันกับทุกคนในที่ทำงานเพื่อไปทำความสะอาดกัน เมื่อเข้าไปข้างในห้องของผู้อำนวยการที่ตัวเองรับผิดชอบอยู่ ก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงซึ่งมาจากสวนที่อยู่ระหว่างอาคารว่า “มี B29 กำลังบินอยู่ด้วยน่ะ” ฉันรู้สึกเป็นกังวลกับเสียงที่ได้ยินนั้น และกำลังคิดว่าจะลองไปดูที่หน้าต่าง แต่ทันใดนั้นด้านนอกของหน้าต่างก็มีแสงสว่างเกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน มันคล้ายกับแสงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันตอนที่ฝนไม้ขีด ต่างกันตรงที่มันเป็นแสงสว่างวาบสีแดงที่มีความรุนแรงกว่ามาก ฉันได้เอามือทั้ง 2 ข้างปิดตากับหูอย่างรวดเร็วแล้วก็ย่อตัวลงตรงนั้น ในเวลานั้น ถูกสอนให้ทำแบบนั้นเมื่อมีระเบิดลงน่ะค่ะ ถ้ำกลางของความมืดมิด รู้สึกว่าเหมือนตกอยู่ในสภาพที่ไร้แรงโน้มถ่วง และเกิดความรู้สึกแปลบอย่างพิลึกทั่วทั้งร่างกายที่อธิบายไม่ถูกว่ามันเป็นความเจ็บปวดหรือมันคืออะไรกันแน่ ทำให้ฉันคิดว่า ฉันคงจะต้องตายตรงนี้แล้ว ซึ่งในตอนนั้นก็ยังไม่รู้ตัว แต่มารู้ตอนหลังว่า ลมแรงที่เกิดจากการระเบิดได้นำเอาเศษกระจกที่แตกเป็นผุยผงมาทิ่มแทงใบหน้าและแขนซ้ายของฉัน ทำให้ร่างกายของฉันเต็มไปด้วยเลือดและที่แก้มซ้ายของฉัน แม้ตอนนี้ก็ยังมีเศษกระจกถูกฝังอยู่ค่ะ
เมื่ออยู่นิ่งๆแบบนั้นอยู่สักพักหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงของคนที่ดังมาจากทางเดินในอาคารอย่างแผ่วเบา ภายในห้องมืดจนมองไม่เห็นอะไรเลย ฉันพยายามที่จะออกจากที่นี่โดยอาศัยเสียงคนมุ่งหน้าไปตามทางเดินในอาคาร ก็ได้ไปเจอเข้ากับหลังของผู้ชาย ฉันคิดว่า หนีไปกับคนๆนี้สิ ฉันยังไม่ตายนี่นา จึงเดินตามหลังของเขาด้วยการจับเข็มขัดที่เอวของเขาอย่างแน่น จนในที่สุดก็สามารถที่จะไปถึงบริเวณที่ใกล้กับทางออกได้ ที่ทางออกนั้น มีผู้คนมารวมตัวกันอยู่จำนวนมาก ทุกคนจึงช่วยกันเปิดประตูที่หนาและออกไปข้างนอกได้ บริเวณนั้นเป็นความมืดระดับรุ่งอรุณ และมีสิ่งของต่างๆที่ปลิวมากับลมแรงที่เกิดจากแรงระเบิดตกลงมาจากท้องฟ้าอยู่ ผู้คนที่ออกมาจากสถานีโทรทัศน์นั้น ทุกคนมีใบหน้าสีดำ เส้นผมก็ชี้ฟ้า เต็มไปด้วยเลือด เสื้อผ้าก็ฉีกขาด ซึ่งอยู่ในสภาพที่ต่างคนต่างไม่รู้ว่าใครเป็นใครจนกว่าจะได้ฟังเสียงของคนๆนั้นก่อน
พวกเราคิดว่าที่โดนทิ้งระเบิดนั้นคงมีเป้าหมายคือสถานีโทรทัศน์ ถึงโดนเล่นงานอย่างหนัก ด้วยเหตุนี้ก็เลยจะไปที่ห้ององค์กรย่อยแผนกรับสมาชิกของสถานีโทรทัศน์ที่อยู่ภายในอาคารของบริษัทผู้ผลิตหนังสือพิมพ์จีนที่อยู่ใกล้ๆกัน จึงออกไปด้านนอกของพื้นที่ก่อสร้างกับผู้หญิง 2-3 คนที่อยู่ฝ่ายงานธุรการ นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่าความเสียหายไม่ได้มีแต่สถานีโทรทัศน์เท่านั้น อาคารบริเวณโดยรอบนั้นล้มลงทั้งหมด มีเปลวไฟเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่ง อีกทั้งยังมีเปลวไฟพุ่งออกมาอย่างแรงจากทั้งห้ององค์กรย่อยที่อยู่บนชั้น 5 และ 6 ของบริษัทผู้ผลิตหนังสือพิมพ์จีนและหน้าต่าง มันกำลังลุกไหม้อยู่ ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงตัดสินใจหนีไปอยู่ที่สวนชูเกอิเอนที่อยู่ใกล้กับสถานีโทรทัศน์กัน ถ้ำกลางที่เปลวไฟกำลังเข้าประชิดตัว ถึงแม้ว่าจะได้ยินเสียงร้องตะโกนที่ดังมาจากข้างใต้บ้านเรือนที่พังลง และเสียงของคนที่กำลังตามหาคนในครอบครัวอยู่ แต่ตัวฉันเองก็ต้องหนีอย่างสุดชีวิตด้วยเหมือนกัน จึงไม่สามารถช่วยอะไรได้
ที่สวนชูเกอิเอนนั้น มีผู้คนจำนวนมากที่อพยพมาอยู่ พวกเราได้เดินข้ามสะพานที่ทอดผ่านสระที่อยู่ภายในสวนไปโผล่ที่ตลิ่งของแม่น้ำเคียวบาชิ แต่จู่ๆต้นไม้ในสวนก็ลุกไหม้ขึ้นมา เปลวไฟค่อยๆเข้ามาใกล้ตลิ่งของแม่น้ำที่พวกเราอยู่อย่างช้าๆ จนในที่สุดต้นสนสูงที่อยู่แถวบริเวณแม่น้ำก็เกิดมีเสียงดังเกิดขึ้นแล้วไฟก็ลุกขึ้นมา พวกเราจึงกระโดดลงไปในแม่น้ำ แช่น้ำถึงหน้าอกและรอดูสถานการณ์อยู่ แต่มาคราวนี้โอสึงะโจที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็เริ่มมีไฟลุกขึ้นมาบ้าง และเศษผงของไฟก็ค่อยๆร่วงหล่นลงมาเรื่อยๆ พวกเราไม่อาจทนความร้อนของอัคคีภัยที่เข้าประชิดทั้งจากฝั่งตรงข้ามกับข้างหลังได้ จึงเข้า ๆ ออก ๆแม่น้ำจนกระทั่งถึงช่วงเย็น
เนื่องจากมีคนจำนวนมากที่มุ่งหน้าหนีมาทางตลิ่งของแม่น้ำ จึงทำให้แถวนี้แทบจะไม่มีที่นั่งกันเลยค่ะ อาจเป็นเพราะว่ามีกองทัพตั้งอยู่ใกล้ๆ จึงเห็นทหารอยู่พอสมควร แต่เป็นเพราะทุกคนสวมหมวกอยู่ จึงมีเส้นผมที่หลงเหลืออยู่เป็นรูปจานกลมๆเท่านั้น นอกนั้นกลายเป็นแผลไฟไหม้ทั่วทั้งร่างกายและบิดตัวดิ้นอย่างทุกข์ทรมานกันอยู่ สภาพของคุณแม่บางคนที่อุ้มทารกอยู่นั้นท่อนบนของร่างกายนั้นยับเยิน คิดว่าทารกน่าจะตายไปแล้วน่ะค่ะ
ได้ยินเสียงของผู้คนที่บาดเจ็บและเป็นแผลไฟไหม้ที่ร้องว่า “ขอน้ำ ขอน้ำ” อย่างไม่ขาดสาย แต่ก็ได้ยินเสียงตะโกนว่า “ห้ามดื่มน้ำ” ด้วยเหมือนกันค่ะ ไม่รู้ว่าทนแผลไฟไหม้ที่ตัวเองได้รับไม่ไหว ก็เลยตัดสินใจกระโดดลงไปในแม่น้ำก็มีมากเช่นกันค่ะ ส่วนใหญ่ของคนที่กระโดดลงไปนั้น กลับไม่ขึ้นมาจากน้ำอีกเลย และถูกกระแสน้ำพัดไหลไป จากต้นน้ำก็มีคนไหลมาตามน้ำเรื่อยๆ ทำให้ความกว้างของแม่น้ำเต็มไปด้วยศพ ในระหว่างที่พวกเราแช่อยู่ในน้ำ ก็มีศพที่ไหลเข้ามาใกล้ๆ ฉันจึงใช้มือดันกลับให้ไปทางน้ำที่กำลังไหลอยู่ ในตอนนั้นมันอยู่ในอารมณ์ที่บ้าบิ่น จึงไม่รู้สึกถึงความน่ากลัวเลยค่ะ ฉันได้เห็นภาพทิวทัศน์ที่น่าเวทนาสงสารมากยิ่งกว่าภาพวาดในนรกด้วยตาดวงนี้มาแล้วค่ะ
อัคคีภัยที่รุนแรงทำให้เคลื่อนที่ไม่ได้ พวกเราจึงต้องอยู่ที่ตลิ่งของแม่น้ำของสวนชูเกอิเอนตลอดทั้งวัน ในช่วงที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ได้มีเรือบรรเทาทุกข์ลำเล็กเพื่อออกตามหาเจ้าหน้าที่ของสถานีโทรทัศน์ผ่านมา ซึ่งเจ้าหน้าที่ของสถานีจะต้องไปอยู่ที่สถานที่ดูแลรักษาพยาบาลของสถานที่ฝึกทหารตะวันออกที่ตั้งอยู่ที่ด้านตะวันออกของแม่น้ำ จึงนั่งเรือลำเล็กไปลงที่พื้นที่ที่เป็นทรายที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แต่เนื่องจากฉันรู้สึกเป็นห่วงมารดาที่อยู่ที่บ้านคนเดียว จึงบอกไปว่า อยากจะกลับบ้านโดยจะไม่ไปที่สถานที่ดูแลรักษาพยาบาล จากนั้น เพื่อนที่เป็นเจ้าหน้าที่ของสถานีได้เหนี่ยวรั้งอย่างแรงโดยพูดว่า “คิดจะกลับไปที่เมืองน่ะเรอะ อย่าพูดอะไรบ้า ๆ นะ” เนื่องจากบ้านที่มิซาซะฮอนมาจินั้น อยู่ทางตะวันตกของเมืองฮิโรชิมา ทำให้จะกลับได้ก็ต้องผ่านกลางเมืองที่กำลังลุกไหม้อยู่นั่นเอง เมื่อโดนทุกคนห้ามเอาไว้ ทำให้ฉันต้องบอกว่าจะไปกับพวกเขาด้วยอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ก็ได้หาจังหวะเพื่อหลบหนีไปจากพวกเขาได้ ฉันยังได้ยินเสียงของคนที่น่าจะรู้ว่าฉันหายไปกำลังตะโกนเรียกฉัน แต่ฉันก็พูดไปว่า “ขอโทษ” แล้วก็ มุ่งหน้าไปที่บ้านคนเดียวค่ะ
●เส้นทางสู่บ้าน
ได้แยกทางกับเจ้าหน้าที่ของสถานี ฉันก็ได้ไปถึงสะพานโทกิวะที่ทอดผ่านแม่น้ำเคียวบาชิ ซึ่งก็มีผู้คนที่ได้รับบาดเจ็บทยอยข้ามผ่านมาจากทิศทางฮากุซิมะที่อยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ แต่ไม่มีคนที่มุ่งหน้าไปทิศทางตรงข้ามเลย ขณะนั้น ได้พบกับเจ้าหน้าที่ทางรถไฟที่กำลังจะข้ามสะพานอยู่ค่ะ พวกเขาบอกว่าอยู่ระหว่างทางที่จะไปสถานีโยโกงาวะ ฉันจึงได้ขอร้องเขาว่า “ช่วยพาไปด้วยได้มั้ยคะ” แต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมาด้วยเหตุผลที่ว่า “พวกเราเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะไปได้หรือเปล่า คงจะพาคุณไปด้วยไม่ได้หรอก ไปที่สถานที่ดูแลรักษาพยาบาลเถอะนะ” แต่ฉันก็ไม่ยอมแพ้โดยแอบสะกดลอยตามพวกเขาไปอย่างห่างๆในระยะ 4-5 เมตร ในถ้ำกลางไฟที่กำลังลุกอยู่เมื่อพวกเขาหันกลับมาดู ฉันก็หยุด แล้วก็ไล่ตามพวกเขาต่อ ทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกระทั่ง พวกเขาเห็นว่าฉันเดินตามมาตลอด สุดท้ายเขาจึงพูดว่า “งั้นก็เดินตามหลังเส้นทางที่พวกเขาเดินผ่านก็แล้วกัน” และเมื่อใดที่จะต้องผ่านสถานที่ที่มีอันตรายเขาก็จะช่วยส่งสัญญาณให้รู้ด้วยค่ะ
พวกเราได้หลบหลีกไฟและผ่านข้างๆโรงพยาบาลการสื่อสารจนไปถึงสะพานมิซาซะได้ ซึ่งบนสะพานนั้น มีคุณทหารที่ได้รับบาดเจ็บนั่งอยู่ทั้งสองข้าง เป็นสภาพที่แทบจะไม่มีที่สำหรับเอาเท้าเหยียบได้เลยค่ะ อาจเป็นทหารกองกำลังชุด 2 ที่อยู่ใกล้ ๆ นั้นก็ได้ค่ะ ทุกคนส่งเสียงร้องครวญครางอย่างทุกข์ทรมานอยู่ ในที่สุดฉันก็ข้ามสะพานโดยพยายามไม่เหยียบคนเหล่านั้นมาได้และไปถึงรางรถไฟของรถไฟได้ จากนั้นฉันก็ได้เดินตามรางรถไฟจนไปถึงสถานีโยโกงาวะ ฉันได้แยกทางกับเจ้าหน้าที่ทางรถไฟที่นี่ แต่ตอนที่จะแยกกันนั้น ฉันยังจดจำคำพูดของพวกเขาที่พูดเอาไว้ว่า “ขอให้กลับอย่างระมัดระวังตัวด้วยนะ” เป็นอย่างดีเลยค่ะ
●การได้พบกันอีกครั้งกับมารดา
เมื่อเหลือฉันคนเดียว จึงเดินมุ่งหน้าไปที่บ้านที่มิซาซะ แม้ว่าบริเวณโดยรอบนั้นจะมืดสนิทหมดแล้ว แต่ 2 ข้างทางก็ยังมีไฟที่ลุกไหม้อยู่ ซึ่งที่ที่มีไฟกำลังลุกไหม้อย่างหนัก ก็ต้องวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว บ้านของฉันนั้นต้องไปจากโยโกงาวะและผ่านมิซาซะและบ้านจะหันหน้าไปทางถนน ที่ทะลุผ่านไปทางทิศเหนือได้ จนในที่สุดก็ถึงบ้าน แต่ตอนนั้นบ้านได้ถูกไหม้ไปจนหมดสิ้นแล้ว แต่ก็สามารถมองเห็นมารดาที่กำลังยืนอยู่บนถนนที่ใกล้ ๆ นั้น ๆ ได้ ฉันรู้สึกดีใจที่ยังมีชีวิตอยู่ จนเข้าไปกอดมารดาและเราก็ร้องไห้ด้วยกัน
ตอนที่ระเบิดปรมาณูโดนทิ้งนั้น มารดากำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะกระจกบนชั้น 2 ของบ้าน ห้องที่อยู่ชั้น 2 นั้นได้ถล่มพังลงมาด้านในแต่ที่ที่มารดาอยู่นั้นเนื่องจากเป็นมุมของห้องเลยทำให้ไม่ตกลงไปน่ะค่ะ บันไดก็ใช้การไม่ได้ แต่มีคนเอาบันไดลิงมาพาดให้จากข้างนอก ทำให้ลงมาข้างล่างได้น่ะค่ะ
ในช่วงเช้าบ้านก็ยังอยู่ในสภาพที่ถล่มพังลงมาเท่านั้น แต่ไฟก็ค่อยๆเข้ามาใกล้จนกระทั่ง ช่วงบ่ายจึงเกิดเป็นไฟลุกไหม้ขึ้นมาน่ะค่ะ มารดาคิดว่าก่อนที่บ้านจะถูกไหม้จนหมด อย่างน้อยก็อยากจะเอาที่นอนออกไปด้วยให้ได้ จึงโยนออกไปข้างนอก แต่ผู้อพยพหนีภัยก็ดันเก็บแล้วก็ฉีกเอาไปด้วยน่ะค่ะ อีกทั้ง ได้ขุดสวนของบ้านเหมือนหลุมหลบภัยเพื่อฝังชุดเสื้อผ้ากับสิ่งของมีค่าเอาไว้ แต่พอไฟมาถึงบริเวณนั้นก็ถูกไฟไหม้จนหมดด้วย มารดาได้ใช้ถังน้ำไปตักน้ำในลำธารที่อยู่ด้านหน้าของบ้านเพื่อมาดับไฟตั้งหลายครั้ง และก็รีบขุดสิ่งของที่ฝังไว้ขึ้นมา แต่ของที่อยู่ข้างในนั้นส่วนใหญ่ถูกไหม้จนหมดเลยค่ะ ถึงแม้ว่าเพื่อนบ้านจะคะยั้นคะยอให้มาราดาหนีไปที่มิตากิแต่ก็รู้สึกเป็นห่วงฉันกับพี่สาว ดังนั้นในระหว่างที่บ้านกำลังไหม้อยู่ จึงอพยพไปอยู่ในสวนที่อยู่ตรงข้ามโดยมีถนนคั่นอยู่ เพื่อรอการกลับมาของลูกสาว
ในคืนนั้นพวกเราแม่กับลูกก็ได้นอนในที่โล่งแจ้งอยู่ภายในสวนนั้น ที่ถนนหน้าบ้านก็มีทั้งคนที่อพยพเข้ามากับผู้คนที่เดินทางไปช่วยเหลือคนอื่นที่สัญจรไปมาตลอดทั้งคืน ฉันได้แต่มองดูพวกเขาไปก็คิดไปด้วยว่าจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้นบ้างนะด้วยใจที่เลื่อนลอย ช่วงเวลากลางดึก ได้รับข้าวปั้นจากหน่วยกู้ภัยมากินกับมารดา จากนั้นก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าเข้านอนหรือเปล่า จนกระทั่งถึงรุ่งเช้า
●การค้นหาพี่สาว
ในวันที่ 7 คลื่นมนุษย์ก็ยังมีมาอย่างไม่ขาดสาย พี่เอมิโกะก็ยังไม่กลับมา มารดารู้สึกเป็นห่วงพี่สาวจึงพูดออกมาว่า “เกิดอะไรขึ้นนะ หรือว่าจะตายไปแล้วนะ?” แล้วก็ร้องไห้ออกมา ฉันไม่อาจทนดูมารดาที่เป็นแบบนี้ได้ วันถัดไปในวันที่ 8 ฉันกับเพื่อนของพี่สาวที่อาศัยอยู่ใกล้บ้านได้ออกเดินทางเพื่อไปตามหาพี่สาวด้วยกัน และฉันก็ได้เห็นนรกที่นั่นอีกครั้งหนึ่งค่ะ
พี่สาวทำงานที่ชุมสายโทรศัพท์กลางฮิโรชิมา ที่ซิโมะนะกันโจ(ปัจจุบันคือเขตนะกะ ฟุกุโระมาจิ) ฉันต้องผ่านจากโยโกงาวะจนถึงโทกะอิจิมาจิ(ปัจจุบันคือเขตนะกะโทกะอิจิมาจิ บล็อกที่ 1)และเดินเลียบทางรถไฟไป ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการจัดระเบียบร่องรอยที่ถูกไฟไหม้ แต่ถ้าเป็นเส้นทางที่กว้างเหมือนกับที่รถไฟจะผ่านไปได้ล่ะก็ สามารถที่จะผ่านไปได้อย่างหวุดหวิด ในเมืองนั้นเอ่อล้นไปด้วยซากศพ ถ้าไม่ระวังให้ดีก็เกือบจะเหยียบได้เลยล่ะค่ะ ในด้านของเทระมาจิ(ปัจจุบันคือเขตนะกะ)นั้น มีม้าที่บวมโตเป็นรูปกลมล้มตายอยู่ 1 ตัว ที่แถว ๆโทกะอิจิมาจินั้น มีคนที่ยืนอยู่โดยไม่ขยับโดยที่แบมือทั้งคู่ออก ร่างกายก็ไหม้เกรียมจนดำ เมื่อมองดูด้วยความรู้สึกที่แปลกอยู่ ก็พบว่าคนๆนั้น เสียชีวิตในขณะที่ยืนอยู่น่ะค่ะ ถังน้ำสำหรับป้องกันไฟไหม้ที่มีอยู่ตามที่ต่าง ๆ นั้น มีคนจำนวนมากได้เอาหัวมุดเข้าไปและทับซ้อนกันตายอยู่ด้วยค่ะ ที่ขอบของถนนนั้นถูกกลบด้วยศพ ซึ่งในนั้น บางคนก็ยังมีลมหายใจและส่งเสียงร้องครวญคราง บางคนก็ร้องขอ “น้ำ น้ำ” แต่คนที่สบายดีไม่มีเลยสักคนค่ะเสื้อผ้าของทุกคนถูกไหม้ ร่างกายก็ถูกไหม้จนเป็นแผล บวม ซึ่งมีลักษณะที่คล้ายกับตุ๊กตาที่มีสีดำสนิทน่ะค่ะ ถึงแม้ว่าพี่สาวจะอยู่ในนี้ก็คงไม่มีทางหาเจอได้จากสภาพแบบนี้หรอกค่ะ พวกเราถกขาข้ามศพไปเรื่อยๆจนสามารถที่จะข้ามสะพานไอโออิไปถึงคามิยะโจ(ปัจจุบันคือเขตนะกะ)ได้แล้ว แต่ก็ไม่สามารถที่จะเดินหน้าต่อไปได้อีกแล้ว พวกเราจึงย้อนกลับไปที่มิซาซะ เพราะคิดว่าในสภาพการณ์แบบนี้พี่สาวคงไม่มีชีวิตรอดแล้วน่ะค่ะ
แต่ 1 สัปดาห์หลังโดนทิ้งระเบิด พี่สาวกลับมาเองน่ะค่ะ พี่สาวได้รับบาดเจ็บอย่างหนักที่ชุมสายโทรศัพท์ แต่ก็ได้หนีไปที่ภูเขาฮิจิ จากนั้นก็ถูกขนย้ายไปที่อำเภออะซะคัยไทจิโจ(ปัจจุบันคือคัยตะโจ)และถูกกักตัวอยู่ที่สถานที่ดูแลรักษาพยาบาล และได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นประมาณ 1 สัปดาห์ จนกระทั่งได้ยินว่าจะมีรถบรรทุกที่ออกไปช่วยเหลือในเมืองฮิโรชิม่า พี่สาวก็เลยขอติดรถไปด้วยน่ะค่ะ แต่ในตอนแรกก็ถูกปฏิเสธว่า จะให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสนั่งไปด้วยไม่ได้ แต่ก็ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นที่อยากจะกลับให้ได้จึงหาจังหวะแอบกระโดดเข้าไปด้านหลังของรถบรรทุก จนสุดท้าย พวกเขาก็ยอมมาส่งที่โทกะอิจิมาจิให้น่ะค่ะ พี่สาวที่ค่อยๆเดินกลับมาจากโทกะอิจินั้น เสื้อผ้าก็ขาดรุ่งริ่ง ทั้งร่างกายก็เต็มไปด้วยเลือด รองเท้าทั้ง 2 ข้างก็เป็นคนละชนิดกัน อยู่ในสภาพที่หากคนที่ไม่รู้อะไรมาก่อนได้เห็นล่ะก็ ต้องคิดว่าคน ๆ นี้ไม่ปกติอย่างแน่นอนเลยค่ะ เนื่องจากบ้านของเรานั้น ถูกไหม้ไปหมดแล้ว จึงให้พี่สาวไปนอนพักที่มุมบ้านของเพื่อนของมารดา แต่พี่สาวกลับหลับสนิท ได้ไปอยู่บนรอยต่อระหว่างความเป็นความตายมาแล้ว
●การดูแลพี่สาวที่ป่วยอยู่
บนร่างกายของพี่สาวนั้นมีเศษกระจกเสียบอยู่ทั่วทั้งหลัง เนื้อที่แขนก็ถูกคว้านออกมาซึ่งคล้ายกับลูกทับทิมที่ฉีกขาดน่ะค่ะ ฉันต้องใช้เข็มเขี่ยเอาเศษกระจกออกจากหลังของพี่สาวทุกวัน แต่ที่บาดแผลนั้น ก็มีหนอนเกิดขึ้นมาด้วยค่ะ ลูกสาวที่พี่สาวขอไปนอนด้วยนั้น ก็ได้เสียชีวิตจากการโดนระเบิด ทำให้พวกเราเริ่มไม่สบายใจที่ไปรบกวนบ้านเขา จึงตัดสินใจที่จะกลับไปที่บ้านของตัวเองที่ถูกไฟไหม้ พอดีพี่ชายคนโตมาและช่วยไปรวบรวมไม้ที่ถูกไหม้ มาสร้างกระท่อมที่พอจะหลบฝนและน้ำค้างให้ พวกเราจึงย้ายไปที่นั่นและดูแลพี่สาวกันต่อ พี่สาวซึ่งต้องนอนอยู่กับที่ไม่สามารถลุกไปไหนได้นั้นจึงไม่สามารถไปที่สถานที่ดูแลรักษาพยาบาลได้ ทำได้แค่ขอแบ่งยาทามาจากคนอื่นเล็กน้อยเท่านั้น จึงไม่มีโอกาสที่จะได้รับการรักษาที่สมบูรณ์ได้เลย เส้นผมก็หลุดร่วงจนหมด อ้วกออกมาเป็นเลือด จนมีอยู่หลายครั้งที่คิดว่า คงจะไม่รอดแล้วด้วยค่ะ มารดาจะไปที่ภูเขาทุกวันเพื่อไปเก็บใบคาวทองกลับมา โดยจะนำเอาใบที่ยังเขียวอยู่ต้มให้ฉันกับพี่สาวดื่มแทนน้ำ ชาที่ทำมาจากใบคาวทองสีเขียวนั้น มีกลิ่นที่เหม็นมาก แต่มารดาบอกว่า มันเป็นยาที่ช่วยขับพิษออกจากร่างกายได้ ก็ไม่รู้ว่ามันใช้ได้ผลหรืออย่างไร ถึงแม้ว่าพี่สาวก็ยังไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ถึง 3 เดือนแต่หลังจากนั้น พี่สาวกลับดีขึ้นและสามารถที่จะกลับไปทำงานได้อีกครั้งหนึ่งด้วยค่ะ แต่กว่าเส้นผมที่หลุดร่วงไปจะขึ้นครบ ก็ต้องใช้ผ้าพันคอกับหมวกปิดบังเอาไว้น่ะค่ะ บนร่างกายก็มีแผลเป็นจากบาดแผลหลงเหลืออยู่ ทำให้ไม่สามารถสวมใส่เสื้อที่ไม่มีแขนเสื้อได้เลยค่ะ แม้กระทั่งตอนนี้ แขนที่ถูกคว้านก็ยังบุ๋มอยู่เลยค่ะ
●การดำเนินชีวิตหลังสงคราม
การสิ้นสุดสงครามนั้นรู้จากคนอื่นค่ะ ในตอนแรกตอนที่ได้ยินว่าสิ้นสุดสงครามแล้วนั้น กลับไม่รู้สึกอะไรเลยค่ะ จากการที่ถูกสอนมาตั้งแต่ยังเด็ก จนทำให้เชื่ออย่างสนิทใจว่าญี่ปุ่นจะไม่มีวันแพ้อย่างเด็ดขาด และถึงแม้ว่าจะทำงานอยู่ที่สถานีโทรทัศน์แต่ก็เคยได้รับฟังแต่เฉพาะเรื่องที่ญี่ปุ่นชนะเท่านั้น ยังไม่เคยได้ยินเรื่องที่เกี่ยวกับญี่ปุ่นแพ้มาก่อนเลยค่ะ แต่ตอนที่ได้ฟังเรื่องที่มีระเบิดแบบเดียวกันตกที่นางาซากินั้น ทำให้คิดว่า ถ้าจะต้องโดนทิ้งระเบิดแบบนี้อีกหลายครั้ง สงครามน่าจะจบลงซะดีกว่า
สำหรับสถานีโทรทัศน์นั้น เนื่องจากอาคารที่คามินะงะเละโจใช้การไม่ได้แล้ว จึงต้องย้ายไปที่บริษัทอุตสาหกรรมโตโยที่อำเภออะซะฟุจูโจแทนค่ะ ฉันจะต้องดูแลทั้งพี่สาวและต้องเดินทางไปที่บริษัทอุตสาหกรรมโตโยที่อยู่ห่างไกลด้วยรถไฟ ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงที่กองทัพสัมพันธมิตรที่ส่งมายึดครองญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สองเพิ่งจะมาถึงได้ไม่นาน และเกิดข่าวลือว่าผู้หญิงอาจถูกรังแก ฉันจึงลาออกจากงานที่สถานีโทรทัศน์ หลังจากนั้นได้ทำงานกับบริษัทที่อยู่ใกล้กันนั้นอีกประมาณ 1 ปี จากนั้นก็ได้อาจารย์ผู้มีพระคุณแนะนำให้ไปทำงานที่บริษัทอื่นอีกสักระยะหนึ่งและหลังจากนั้นฉันก็ได้แต่งงานค่ะ
ในวันที่ 6 กับวันที่ 8 ฉันได้เดินอยู่ในเมืองฮิโรชิม่า แต่ก็ไม่เคยป่วยเป็นโรคอะไรที่ใหญ่โตที่เกิดจากการได้รับสารกัมมันตภาพรังสีเลยค่ะ ว่ากันว่าอาการของโรคแบบนั้นไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ แต่ฉันก็ไม่เคยพูดถึงความกังวลที่มีต่อโรคออกมาเลยค่ะ ถ้าป่วยเมื่อไหร่ก็ค่อยว่าไปตามนั้นจะดีกว่าค่ะ แทนที่จะมาสนใจเรื่องพวกนี้ ฉันกลับคิดอยู่ตลอดเวลาว่า จากนี้ไปควรจะทำอย่างไรดีมากกว่า
●ความปรารถนาในสันติภาพ
ก่อนหน้านี้ฉันไม่ค่อยอยากจะพูดถึงตอนที่โดนระเบิดสักเท่าไหร่นัก ฉันได้ไปไหว้ที่แผ่นหินหน้าหลุมฝังศพทุกๆปี แต่ก็ไม่เคยไปที่สวนชูเกอิเอนที่เคยอพยพไปในวันที่ 6 สิงหาคมอีกเลยค่ะ สวนชูเกอิเอนในปัจจุบันนั้นกลายเป็นสวนขนาดใหญ่ที่สวยงามแล้ว แต่เมื่อเห็นสะพานกลมๆที่ทอดข้ามสระแล้วมันจะทำให้นึกถึงวันนั้นขึ้นมาอีก จึงไม่อยากไปน่ะค่ะ เมื่อนึกถึงทีไรก็ทำให้น้ำตามันเอ่อล้นออกมาจนพูดอะไรไม่ออกเลยน่ะค่ะ
ผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์ของระเบิดปรมาณูมาส่วนใหญ่ได้เสียชีวิตลงไปแล้ว ทำให้คนที่จะเล่าเรื่องนี้ได้จึงเหลือน้อยลงไปทุกที ฉันเองก็มีอายุมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว การได้พูดถึงภาพของนรกทั้งเป็นที่ยังอยู่ในความทรงจำอย่างชัดเจนจนกระทั่งตอนนี้ เป็นการได้ถ่ายทอดให้กับคนหนุ่มสาวได้รู้ว่าอาวุธนิวเคลียร์ไม่ควรที่จะถูกนำมาใช้อีกเป็นครั้งที่ 2 อย่างจริงจังได้น่ะค่ะ หลานที่อยู่ชั้นประถมก็เริ่มให้ความสนใจกับสงครามและสันติภาพมากขึ้น และเริ่มที่จะถามว่า “คุณยายเคยโดนระเบิดปรมาณูด้วยเหรอ” ฉันวิงวอนอย่างหนักแน่นอยู่เสมอว่า ขอให้มีโลกที่ไม่ต้องมีใครเลยที่ต้องมาเจอกับความทุกข์ทรมานแบบนี้อีก
|